2008-10-08

หวัง Create Table ขึ้นมาใหม่ เอาไว้ใส่ Data ของเราสอง
จะ Insert ถ้อยคำ และทำนอง ให้ดังก้อง ทุก Columns ในใจเธอ

จะ Select เลือกสรร แต่สิ่งดี From ทุกที่ หามา ให้เสมอ
แม้จะ Where ลำบาก ยากพบเจอี แค่ Order By เธอ ได้โดยพลัน

จะ Alter Table เป็นอย่างดี Primary Key ก็จะมี เธอกับฉัน
จะรักษา ให้ Unique ชั่วนิรันดร ขอยึดมั่น เป็น Constraint ประจำใจ

จะ Index รักเธอ เป็นพิเศษ จะ Update รักกัน ให้สดใส
จะ ประสาน Relation สัมพันธ์ใจ เผื่อจะได้ Rows น้อยๆ ไว้เชยชม

LOVE แสนหวาน ที่ให้เธอ โดน Trigger ทำลาย เสียจนขม
รักที่สร้าง ถูก Delete จนแทบล่ม แทบเป็นลม RollBack กลับ ไว้ไม่ทัน

เหตุใดรัก ที่เธอเคย Commit ไว้ กลับหวั่นไหว เพราะ Foreign Key คนนั้น
เธอแอบ Join ความรัก นอกใจกัน ทิ้งให้ฉัน เดียวดาย กับค่า NULL

2008-09-11

.: อาหารที่จำเป็นของคนทำงาน :.


1. ข้าวกล้อง ข้าวกล้องมีวิตามินบีและอีสูง จึงช่วยเพิ่มพลังสมองในการทำงานช่วยป้องกันโรคเหน็บชาที่คนที่ต้องนั่งโต๊ะทำงานนานๆ มักจะเป็นกัน แถมยังป้องกันโรคสมองเสื่อมในอนาคตได้ด้วย
2. วิตามินบี มีอีกชื่อหนึ่งว่า "สารให้ความกระปี้กระเปร่า" มีอยู่ในข้าวซ้อมมือ ขนมปังโฮลวีท จมูกข้าว ถั่ว เมล็ดทานตะวัน นม กล้วย ส้ม เป็นต้น สาวๆ ที่ทำงานนานจนล้าห้ามพลาด
3. วิตามินซี ที่อยู่ในผักและผลไม้ เช่น ฝรั่ง สตรอเบอร์รี่ น้ำส้มคั้น มะละกอ บร็อคโคลี่ กะหล่ำปลี ถั่วงอก ฯลฯ เป็นส่วนประกอบที่สำคัญมากในการสร้างฮอร์โมนระงับความเครียด จะได้ทำงานอย่างสดใสไปทั้งวันเลย
4. น้ำมันปลา หรือโอเมก้า 3 ช่วยป้องกันโรคหัวใจ ไขข้ออักเสบ ช่วยลดอาการปวดรอบเดือนและระงับอาการซึมเศร้า เบื่อหน่ายจากการทำงานได้ด้วย
5. ผักใบเขียวอย่างตำลึง คะน้า เป็นอาหารกลุ่มโครินที่มีวิตามินบี ซึ่งช่วยเพิ่มความจำและสมาธิ
6. ดื่มน้ำ 8 แก้วต่อวัน เพื่อป้องกันอาการอ่อนเพลีย และการเป็นตะคริวจากการนั่งหรือยืนนานๆ แถมยังช่วยให้ผิวพรรณเปล่งปลั่งสดใสด้วย สาวๆ ที่ทำงานในห้องแอร์ตลอดวันยิ่งควรดื่มบ่อยๆ เพื่อไม่ให้ผิวแห้ง
7.น้ำใบบัวบก ทำงานมาทั้งวันช่วงบ่าย สาวๆ ก็คงจะเพลีย ขอแนะนำให้ดื่มน้ำใบบัวบกเพราะเป็นน้ำเพิ่มพลังชั้นยอด เป็นยาบำรุงแก้อ่อนเพลียช่วยให้ร่างกายผ่อนคลาย เสริมสร้างความจำและช่วยให้สมองทำงานได้ดีด้วย
8. ทานของหวานหลังอาหารกลางวัน จะทำคงความสดชื่นได้ยาวนานขึ้น เพราะรสเปรี้ยวและรสหวานนั้นจะช่วยเพิ่มความชุ่มชื่นในร่างกาย ยิ่งตอนบ่ายๆ อาจจะง่วง ผลไม่รสเปรี้ยวคือคำตอบของคุณ ไม่ว่าจะเป็นมะม่วงหรือผลไม้ตระกูลเบอร์รี่ต่างๆ จะกระตุ้นให้สาวๆ กระปรี้กระเปร่าขึ้นได้
9. ถั่ว ยิ่งคนที่ต้องใช้สายตาเพ่งหน้าจอคอมพิวเตอร์ หรืองานที่ต้องใช้สายตานานๆ ควรมีถั่วติดโต๊ะไว้ด้วย เพราะถั่วมีวิตามินบี 2 บำรุงสายตาได้ดี
10. วิตามินซีและธาตุเหล็ก เพราะเวลาที่มีรอบเดือนร่างกายจะขาดธาตุเหล็ก ทำให้เหนื่อยง่าย หงุดหงิด ไม่มีสมาธิช่วงนั้นของเดือนจึงเป็นเวลาที่สาวๆ อย่างเราต้องทางวิตามินซี และธาตุเหล็กมากๆ วิตามินซีจะช่วยเพิ่มการดูดซึมธาตุเหล็กเข้าสู่ร่างกายได้ดีขึ้น
11. ชาเขียว นอกจากจะทำให้ลมหายใจสดชื่นไม่มีกลิ่นปากแล้ว ถึงชาเขียวที่ทานแล้วยังช่วยลดมลพิษในห้องทำงานได้ด้วย แค่วางทิ้งไว้เฉยๆ มันก็จะดูดฝุ่นละอองให้เราเอง ทำให้ลดการเป็นภูมิแพ้ไปโดยอัติโนมัติ
12.ไม่ควรรับประทานอาหารรสจัดในมือเช้า เพราะในตอนเช้าร่างกายของเรายังปรับตัวไม่ทันกับรสชาติเผ็ดร้อน เช้าๆ ควรทานเป็นอาหารรสกลางๆ ไปก่อนจะดีกว่า
13. ดื่มน้ำผลไม้ 1 แก้ว ก่อนจะดื่มกาแฟควรดื่มน้ำผลไม้ก่อน 1 แก้ว เพราะการดื่มกาแฟโดยที่ไม่มีอะไรรองท้องจะช่วยเพิ่มความกระปรี้กระเปร่าได้ไม่นาน หลังจากนั้นจะกลับมาง่วงเหมือนเดิม และไม่ควรดื่มกาแฟเกิน 3 แก้วต่อวัน เพื่อไม่ให้ได้รับคาแฟอีนมากเกินไป
14. งดชากาแฟในเวลาเย็น เพราะอาจทำให้นอนไม่หลับ ส่งผลให้สมองพักผ่อนไม่เพียงพอ พอตื่นขึ้นมาสมองก็จะล้า คิดอะไรไม่ออกทำงานได้ไม่เต็มที่
15. หลีกเลี่ยงอาหารรสเค็มและมันจัดในมื้อเที่ยง เพราะอาหารที่มีไขมันสูงหรือเค็มจะทำให้เกิดการสะสม มีผลให้ร่างกายเคลื่อนไหวช้า ขาดความคล่องตัวที่คนทำงานต้องมี

2008-09-09

.: คิดบวก ชีวิตบวก (โดยท่าน ว.วชิรเมธี) :.

เวลาเจองานหนัก ให้บอกตัวเองว่า
นี่คือโอกาสในการเตรียมพร้อมสู่ความเป็นมืออาชีพ


เวลาเจอปัญหาซับซ้อน ให้บอกตัวเองว่า
นี่คือบทเรียนที่จะสร้างปัญญาได้อย่างวิเศษ


เวลาเจอความทุกข์หนัก ให้บอกตัวเองว่า
นี่คือแบบฝึกหัดที่จะช่วยให้เกิดทักษะในการดำเนินชีวิต


เวลาเจอนายจอมละเมียด ให้บอกตัวเองว่า
นี่คือการฝึกตนให้เป็นคนสมบูรณ์แบบ (Perfectionist)


เวลาเจอคำตำหนิ ให้บอกตัวเองว่า
นี่คือการชี้ขุมทรัพย์มหาสมบัติ


เวลาเจอคำนินทา ให้บอกตัวเองว่า
นี่คือการสะท้อนว่าเรายังคงเป็นคนที่มีความหมาย


เวลาเจอความผิดหวัง ให้บอกตัวเองว่า
นี่คือวิธีที่ธรรมชาติกำลังสร้างภูมิคุ้มกันให้กับชีวิต


เวลาเจอความป่วยไข้ ให้บอกตัวเองว่า
นี่คือการเตือนให้เห็นคุณค่าของการรักษาสุขภาพให้ดี


เวลาเจอความพลัดพราก ให้บอกตัวเองว่า
นี่คือบทเรียนของการรู้จักหยัดยืนด้วยขาตัวเอง


เวลาเจอลูกหัวดื้อ ให้บอกตัวเองว่า
นี่คือโอกาสทองของการพิสูจน์ความเป็นพ่อแม่ที่แท้จริง


เวลาเจอแฟนทิ้ง ให้บอกตัวเองว่า
นี่คือความเป็นอนิจจังที่ทุกชีวิตมีโอกาสพานพบ


เวลาเจอคนที่ใช่แต่เขามีคู่แล้ว ให้บอกตัวเองว่า
นี่คือประจักษ์พยานว่าไม่มีใครได้ทุกอย่างดั่งใจหวัง


เวลาเจอภาวะหลุดจากอำนาจ ให้บอกตัวเองว่า
นี่คือความอนัตตาของชีวิตและสรรพสิ่ง


เวลาเจอคนกลิ้งกะล่อน ให้บอกตัวเองว่า
นี่คืออุทาหรณ์ของชีวิตที่ไม่น่าเจริญรอยตาม


เวลาเจอคนเลว ให้บอกตัวเองว่า
นี่คือตัวอย่างของชีวิตที่ไม่พึงประสงค์


เวลาเจออุบัติเหตุ ให้บอกตัวเองว่า
นี่คือคำเตือนว่าจงอย่าประมาทซ้ำอีกเป็นอันขาด


เวลาเจอศัตรูคอยกลั่นแกล้ง ให้บอกตัวเองว่า
นี่คือบททดสอบว่าที่ว่า "มารไม่มีบารมีไม่เกิด"


เวลาเจอวิกฤต ให้บอกตัวเองว่า
นี่คือบทพิสูจน์สัจธรรม "ในวิกฤตย่อมมีโอกาส"


เวลาเจอความจน ให้บอกตัวเองว่า
นี่คือวิธีที่ธรรมชาติเปิดโอกาสให้เราได้ต่อสู้ชีวิต


เวลาเจอความตาย ให้บอกตัวเองว่า
นี่คือฉากสุดท้ายที่จะทำให้ชีวิตมีความสมบูรณ์

2008-09-04

.: วันเกิดบอกความเจ้าชู้ในตัวคุณได้ :.

วันอาทิตย์
คนเกิดวันนี้ มีหัวใจกล้าได้กล้าเสียในเรื่องความรักนั้น ถือคติว่าเสี่ยงเป็นเสี่ยงกันตามประสาคนชอบสนุก เจ้าสำราญพอสมควร คนวันอาทิตย์เจ้าชู้ จึงมีดวงในเรื่องความรักที่โดดเด่น คือได้พบรักเสมอๆ มักปิ๊งคนเด่น ๆ ที่ดูดีกว่าใครในกลุ่มคนที่มีท่าเ รียบง่ายจนเกินไป ค่อนข้างเชยๆ ไม่ใช่คนแบบที่คุณจะสะดุดตาสะดุดใจแน่นอน ใครก็ตามที่ห้าวเกินเหตุ คนวันอาทิตย์ก็ยากจะตัดใจ คิดชอบพอความสดใส มั่นใจในตัวเอง คือเสน่ห์ที่ทำให้ใครๆ หลงรักคนเกิดวันอาทิตย์ และนิสัยที่แข็งเกินไปของคุณก็คือตัวการสำคัญที่จะทำลายความรักให้พังทลายไปอย่างน่าเสียดาย ยามหลงรักใคร คุณจะตามติดหวังพิชิตให้ได้ เมื่อสมใจแล้ว คุณกลับไม่ยอมให้คู่รักมาเปลี่ยนแปลงความเป็นตัวตนที่แท้ของ คุณ ถ้าใครยอมคุณได้ก็รักกันได้นานแน่นอน โดยทั่วไป
ดวงในเรื่องความรักของคนวันอาทิตย์ ไม่ค่อยมีอุปสรรคอะไรนัก จีบใครหรือทอดสะพานให้ใครก็มักสำเร็จเสมอ อยู่ที่ว่าตัวคุณเองนั่นแหละ จะเป็นฝ่ายจืดจางห่างเหินอีกฝ่ายเสียก่อน ตามประสาคนเจ้าชู้ที่หัวใจอ่อนไหว และอยากคบคนใหม่ๆ เพราะรู้สึกว่าเป็นเรื่องท้าทายดีชอบหาความมั่นใจให้ตัวเองด้วยเรื่องรักๆ ใคร่ๆ บางครั้งทั้ง 4 ห้องหัวใจเต็มหมด ห้องไหนทนไม่ไหวโบกมือลาไปคุณก็ไม่เสียใจ มีใครคนใหม่มาแทนได้เร็วเสมอ ดวงความรักค่อนข้างดี ตัวเองไม่มีปัญหา แม้จะชอบตามใจตัวเอง แต่ก็ไม่ค่อยเอะอะเอาเรื่องกับความรักจริงจังนัก ปัญหามักเกิดขึ้นเพราะคนรักของคุณ ซึ่งคิดจะเอาเรื่องกับคุณให้ได้ หรืออาจเป็นเพราะความใจร้อนของคุณบ้าง โดยที่คุณไม่ได้ตั้งใจจะให้เกิดการแตกหักหรอก ดังนั้นถ้าใครเข้าใจคุณก็สามารถควงกับคุณได้นานเป็นพิเศษ

วันจันทร์
คนวันจันทร์ไม่แสดงออกถึงความเจ้าชู้เด่นชัดอย่างคนวันอาทิตย์ แต่จริง ๆ แล้วเป็นคนเจ้าชู้เงียบ แอบโปรยเสน่ห์อยู่บ่อย ๆ เหมือนกัน ซึ่งก็มีคนหลงปลื้มอยู่เสมอไป ด้วยความที่เป็นคนอ่อนโยน ฉลาด รอบรู้ มีมนุษยสัมพันธ์ดีพอควรคนวันจันทร์ชอบทำตัวน่ารัก แต่ถ้าเริ่มคบหาจริงจังกับหวานใจแล้ว จะแสดงความดื้อดึงออกมาทันที เพราะเป็นคนเอาแต่ใจตัวเองไม่น้อย ดวงความรักของคุณจึงแสนซึ้งในช่วงต้น ๆ เพราะพื้นดวงเป็นคนสุภาพ น้อยคนนักที่จะห้าวมากๆ นอกจากเกิดในวันจันทร์ และถ้าความรักจะมีปัญหาก็มักเป็นเพราะตัวคุณเอง เนื่องจากเป็นคนช่างคิดอยู่่แล้ว จึงคิดมากคิดไกล เกินไปเสมอและเป็นเหตุร้าวฉานในความสัมพันธ์ได้ไม่ยาก
ดวงความรักของคุณค่อนข้างไม่ธรรมดา ความรักแท้มักเกิดขึ้นกับคนที่รอบข้างแอบส่ายหน้า ว่าไม่เหมาะสมกัน ถ้าไม่แก่หรืออ่อนวัยกว่ามากๆ ก็อาจแตกต่างกันที่ฐานะ หรือการศึกษา ด้อยกว่าในเรื่องใดเรื่องหนี่งแน่นอนและมักจะได้แสดงถึงความรักแท้เหมือนในหนัง คือการฝ่าฟันกับกระแสการกีดกันของครอบครัว เปอร์เซ็นต์ส่วนใหญ่จะเป็นในรูปนี้ ถ้าใครได้คู่ที่สมกันดีไม่ มีใครห้ามปรามก็ต้องนับว่าโชคดี คงมีดวงในราศีเกิดหรืออิทธิพลอื่นๆ ที่เสริมให้ดวงความรักไปได้ดีกว่าพื้นดวงที่น่าจะเป็นเช่นนั้น แต่สุดท้ายแล้ว คนวันจันทร์จะแฮปปี้สมหวังเสมอ ไม่ค่อยผิดหวังในเรื่องรัก นอกจากจะมีทุกข์ในหัวใจที่ตัวเองคิดเองรู้สึกเองไม่ใช่คนที่คุณรักก่อขึ้นหรอก หรือบางกรณีก็เป็นเพราะคุณแอบหวั่นไหวไปปลื้มคนอื่นแล้วผิดหวัง ถ้าดูแลหัวใจตัวเองให้ดี ๆ ไม่วอกแวกไปไหนคุณก็มักมีคู่รักที่คบกันเนิ่นนานจนเพื่อนๆ อิจฉาเสมอแน่นอน

วันอังคาร
ถ้าคุณเกิดวันอังคาร คุณก็ไม่ต้องเป็นห่วงเรื่องความรักของคุณหรอก เพราะดวงในเรื่องความรักค่อนข้างดี หมายถึงดวงคู่แท้ ๆ ที่เป็นความรักแท้ๆในชีวิตด้วยเช่นกัน พื้นฐานนิสัยของคุณแม้จ ะห้าวหาญวู่วาม และตรงไปตรงมาจนน่าถอยห่าง แต่เสน่ห์ของคุณมีเสมอกับเพศตรงข้าม ทำให้ไม่มีช่วงใดที่ไร้คู่นานวันนัก นอกจากบางช่วงคุณจะยังไม่คิดในเรื่องนี้จริงจังเท่านั้น คนวันอังคารเจ้าชู้แค่อารมณ์เท่านั้น ไม่ได้เจ้าชู้เป็นนิสัยถ้าเจอะเจอคนหล่อหรือคนสวยในแบบที่พึงพอใจ ก็จะส่งสายตาไปก่อนอื่น แต่ไม่ใช่คนที่จะต้องปราดเข้าไปขอทำความรู้จักทันใด แม้จะเป็นคนกล้าแกร่งปานใดก็เถอะ เว้นแต่ว่าถ้าได้รู้จักกันแล้วและหลงรักเข้าแล้วเท่านั้นที่คนวันอังคารจะติดตามผลงานอย่างตั้งใจ จนกว่าจะได้ใจของใครคนนั้นไม่มีวันที่คุณจะจีบเล่นๆ แบบนินจาเดี๋ยวมาเดี๋ยวหายแน่นอน
คนวันอังคารเป็นคนแข็งนอกอ่อนใน และมีดวงแบบตกหลุมรัก เมื่อแรกสบตาได้มากกว่าคนเกิดวันใด น้อยเหลือเกินที่จะเห็นคนวันอังคารมีความรักกับเพื่อนที่คบกันนานปีแล้วค่อยๆ พัฒนาเป็นความรักและในกรณีที่เป็นคู่รักกันแล้วหากมีเรื่องปะทะอารมณ์ใส่กัน คุณก็จะปิดปากเงียบไม่ยอมขอโทษว่าตนผิดเอง ทั้งๆ ที่ในใจคุณอยากง้อใจจะขาด นอกจากว่าทะเลาะกับคู่รักบ่อยๆ ครั้งจนรู้สึกชินแล้วนั่นแหละคุณถึงจะง้อเป็น กล้าที่จะเอ่ยคำว่าเสียใจออกไปได้ ในท่วงท่าที่ดูเป็นคนมุทะลุวู่วามไม่จริงใจกับใครแท้จริงแล้ว คนวันอังคารเป็นคนรักที่คงมั่นมาก ตามดวงชะตาบ่งบอกว่าเป็นคนรักจริงหวังแต่ง มักได้คู่ดี เว้นแต่บางช่วงจะไปรักคนผิดจนเดือดร้อนไม่น้อย ดวงความรักของคุณหากจะมีปัญหา ก็อยู่ที่อารมณ์เท่านั้น ถ้าร้อนเจอร้อนก็จบเร็วแน่ ถ้าคุณลดไฟในอารมณ์ตัวเองได้หรือเลือกคนใจเย็นเป็นน้ำ ก็รักกันยั่งยืนยากจะแตกร้าวได้

วันพุธ
คนเกิดวันพุธมักมีดวงเกี่ยวกับความรักในแบบที่ลึกซึ้ง ไม่รักเพียงหวือหวาให้ตื่นเต้นเร้าใจเท่านั้น ด้วยธรรมชาติและพื้นดวงที่เป็นคนช่างคิดช่างตรองรอบคอบกับทุกเรื่องราวเสมอ ดังนั้นกับในเรื่องรัก คุณจึงต้องมั่นใจก่อนที่จะเอื้อมมือไปคว้ามาแนบใจ เสน่ห์ที่โดดเด่นของคนวันพุธอยู่ที่ศิลปะในการพูดจาทำให้ใครๆ หลงเคลิ้มได้เสมอ และยังเป็นคนฉลาดมีไหว พริบดีอีกด้วย นั่นเป็นจุดเด่นที่ทำให้คนรอบข้างชื่นชมเป็นพิเศษ แต่แม้ว่าจะมีใจชอบใครคนวันพุธ จะไม่เปิดเผยทุกอย่างแก่คนรักเนื่องจากเป็นคนมีโลกส่วนตัว ชอบเก็บบางเรื่องราวไว้กับตัวเองเหมือนกับที่เป็นคนชอบอิสระ และรักสนุกไม่น้อยเลยทีเดียว คนเกิดวันพุธจริงๆ แล้วมี 2 แบบคือแบบ ที่ควักเงินทุ่มให้คนรักแบ บสุดๆ กับอีกประเภทคือ เหนียวสุด ๆ กับคนรัก คุณเป็นแบบไหนก็คงต้องตรวจสอบดูตัวเอง
แต่ที่มีอยู่ในตัวคนวันพุธทั้ง 2 แบบ ก็คือมักจะปิ๊งคนที่อ่อนวัยกว่าเพราะอยากที่จะดูแลคนรักของตน แบบแสนห่วงหวง และคุณก็มักชอบมีรักแบบที่ค่อยๆ ใกล้ชิดติดใจกันไปทีละนิด คุณแพ้คนที่เข้าใจคุณถ่องแท้ ดวงของคุณจึงมีแนวโน ้มที่จะพบรักที่ซาบซึ้งตรึงใจและมีความผูกพันกันมาก เพราะเป็นความรักที่มีพัฒนาการเต็มไปด้วยความเข้าใจในกันและกัน พยายามที่จะรู้จักตัวตนแท้ ๆ ของกันและกันนั่นเอง คนวันพุธโชคดีที่ได้ปิ๊งกับคนคล้ายๆ กัน รสนิยมไม่ต่างกันราวฟ้ากับดินนัก คุยกันรู้เรื่อง ถ้าใครที่ดูดีอย่างเดียว แต่คุยกันไม่รู้เรื่อง ทัศนคติต่างกันมาก ๆ คนวันพุธจะละความสนใจทันที หากเมื่อใดที่อกหัก คนวันพุธก็จะไม่ฟูมฟายมากนักแม้จะปวดใจเ พียงใด คนที่เป็นคู่รักของคนวันพุธได้ดีต้องมีลักษณะของความเป็นเพื่อน เฮไปไหน ๆ ด้วยกันได้ ถ้าทำสวีทเป็นเจ้าของเกินไป มักอยู่กับคนวันพุธได้สั้นกว่าที่หวัง

วันพฤหัส
ถ้าคุณเกิดวันพฤหัสบดี มั่นใจได้เลยว่าคุณจะเป็นคนรักที่ดีให้ใครคนนั้นได้ภาคภูมิใจแน่ เพราะคุณมีทั้งความเอื้ออารี มีน้ำใจ เป็นคนสติปัญญาดี มีความยุติธรรมเป็นคนที่ใครก็ยอมรับและชื่นชมคุณเป็นคนรักจริง เกลียดจริง ถ้าเกลียดใครก็ไม่เสแสร้งคบหาต่อไปให้ต้องฝืนตามวิสัยของคุณวันพฤหัสบดี ที่ตรงพอสมควรดวงในเรื่องความรักของคนวันพฤหัสบดี ไม่ค่อยโลดโผนพิสดารมากนัก ความรักค่อยเป็นค่อยไปอย่างเรียบง่าย หากจะมีเรื่องปวดหัวใจบ้างก็เป็นเพราะความมองโลกในแง่ดีเกินไป บางครั้งจึงหลงคารมคนไม่จริงใจหรือบางครั้งก็คิดไปเองว่าใครคนนั้นมีใจด้วย ทั้งๆ ที่ไม่ได้เป็นดั่งที่แอบคิดแอบหวั่นไหว
คนเกิดวันพฤหัสบดีเป็นคนใฝ่รู้ ถ้าช่วงใดเจ็บหัวใจ ก็จะทำใจด้วยการทุ่มเทในเรื่องที่มีสาระ มีประโยชน์กับชีวิต ความน่ารักของคนอยู่ที่ความสดใส เปิดเผย มีความมุ่งมั่นเสมอ ไม่ใช่คนที่เลื่อนลอยไร้สาระ ไม่บ่อยนักที่จะเห็นคนวันพฤหัสบดีอีกลักษณะหนึ่งคือไม่ค่อยเรียบร้อยและขาดความสุขุมรอบคอบ คนวันพฤหัสบดีไม่ค่อยเจ้าชู้ แม้จะดูมีท่าทีเข้ากับคนง่ายสดใสเป็นกันเองแต่ไม่ได้ชอบใครง่าย ๆ เสมอไป ถ้ารักใครก็จะรักอย่างซื่อสัตย์ หากจะผิดหวังก็ดังที่กล่าวมาแล้ว คือการไปรักคนผิด คิดว่าดีที่แท้ไม่ใช่ ดวงความรักของคนวันพฤหัสบดีนั้นจะมีรักจริงจังก็ต่อเมื่อพบเจอคนที่เรียบง่ายคล้ายๆกัน สดใสน่ารัก และไม่ใช่ฟู่ฟ่าหรูหราเกินไปนัก

วันศุกร์
คนที่เกิดวันศุกร์ เป็นคนที่ต้องพัวพันกับเรื่องรักๆใคร่ๆเสมอ เพราะดาวศุกร์ เป็นสัญลักษณ์ของดวงดาวประจำเทพีแห่งความรัก คุณผู้หญิงวันศุกร์จึงเป็นคน รักสวยรักงามเป็นพิเศษ คุณผู้ชายก็สำอางไม่เบา ถ้าผู้ชายคนใดที่บำรุงผิวหน้าด้วยโลชั่นหรือพรมน้ำหอมเสมอก่อนออกจากบ้าน จนใครๆ เกือบจะคิดว่าเป็นเกย์ละก็ที่แท้เขาคนนั้นเป็นคนวันศุกร์นั่นเอง เมื่อรักใครชอบใครคนวันศุกร์จะเทคแคร์เอาใจได้ละเมียดละไมที่สุดยิ่งกว่าคน เกิดวันอื่นๆ แต่ด้วยความที่รักตัวเองมาก หลงตัวเองพอสมควร ดังนั้นคุณจึงต้องการให้คนพิเศษของคุณ ทุ่มเทรักให้คุณสุดหัวใจ ถ้ารู้สึกว่ายังได้ควา มรักจากเขาหรือเธอไม่มากพอ คุณจะร้ายใส่ทันที แม้เสน่ห์ของคนวันศุกร์จะอยู่ที่ความอ่อนหวานก็เถอะ ยามหึงหวงหรือโกรธเคืองแล้วจะปากร้ายมาก แต่ในจิตใจไม่พิษร้ายใดๆ เป็นคนใจกว้างและเป็นคนซื่อตรงซื่อสัตย์มากด้วยซ้ำ เพียงแต่คิดมากขี้ระแวงเท่านั้นเอง
ดวงความรักของวันศุกร์ค่อนข้างอาภัพ ทั้งๆ ที่มีคนมารักจริงแบบหวังแต่ง แต่ก็มักจบลงเพราะความไม่มีเหตุผลอย่างสุดๆ ของคุณเอง เรื่องที่จะผิดหวังเพราะไปรักเขาข้างเดียวนั้นก็มีบ้าง แต่เกิดขึ้นไม่บ่อยนักหรอก ถ้าจะผิดหวังจนเสียหน้า ก็เป็นเพราะไปหลงเชื่อคนที่มาหวังผลประโยชน์จากคุณโดยไม่ได้รักคุณจริง เนื่องจากคนวันศุกร์ฉลาดในเรื่องอื่น แต่ไม่ทันคนนักหรอก ที่ว่าดวงความรักของคนวันศุกร์อาภัพก็เพราะว่า แม้บางจังหวะชีวิตจะมีรักแสนซึ้งเพียงใดก็กลับต้องเลิกร้างกันทั้งๆ ที่ยังรักบางคนก็อาภัพแบบมีแต่รักเทียมๆ สั้นๆ ไม่ดื้อไม่ดื่มด่ำลึกซึ้งนานวันให้อิ่มใจนักคนเกิดวันศุกร์บางคนก็มีความสัมพันธ์รักที่ยั่งยืนอบอุ่น แต่มักไม่ใช่เป็นคนที่คุณหลงรัก อย่างปักจิตปักใจมาก่อน นับเป็นดวงแห่งความรักที่ไม่ธรรมดาเลยทีเดียว

วันเสาร์
คนเกิดวันเสาร์ มีดวงชะตาในเรื่องรักที่ค่อนข้างดีพอสมควร ไม่ค่อยจะมีปัญหาปวดหัวปวดใจ จนเดือดร้อนเพราะเรื่องความรักอย่างคนเกิดวันอื่นๆ เนื่องจากพื้นฐานนิสัยที่เป็นคนเด็ดเดี่ยว หนักแน่น คุณจึงคบใครก็คบอยู่คนเดียว พอเลิกกันเมื่อใดจึงค่อยมีรักใหม่ แต่คนวันเสาร์จะไม่ออกไปวิ่งไขว่คว้าหารักมาใส่ตัวหรอก นอกจากรอให้กามเทพแผลงสอนเองตามธรรมชาติดีกว่า แม้จะดูสุขุม มีระบบระเบียบ เป็นคนตรง หัวแข็งไม่เบา แต่ในใจคนวันเสาร์ก็อ่อนไหวไม่ยากกับเรื่องรัก เห็นใครถูกใจก็ชอบแต่ก็รู้จักยับยั้งใจ ไม่วิ่งเข้าประกบทันทีเด็ดขาด ถ้าจะมีความเจ้าชู้ ก็เจ้าชู้เงียบ แต่ไม่ใช่เงียบแบบแอบเอาจริงอย่างคนวันจันทร์ เพราะคนวันเสาร์จะแค่มอง รู้สึกชอบ ส่งยิ้มไปบ้าง แต่ก็ไม่คิดอะไรมากกว่านั้น ดวงความรักของคุณ เป็นลักษณะที่มีความสัมพันธ์มีความผูกพันธ์ เต็มไปด้วยความลึกซึ้งไม่ใช่รักแบบตื่นเต้นเร้าใจสั้นๆ แล้วจบลงเหมือนเพียงจุดพลุดอกไม้ไฟ
คนวันเสาร์ทำให้คนอื่นประทับใจได้เสมอ กับความอดทนมุ่งมั่นใส่ใจคนรักอย่างเสมอต้นเสมอปลาย แต่ถ้าใครคนนั้นฟู่ฟ่าหรูหราใช้เงินกระหน่ำเกินไปคุณก็ไม่ชอบใจเหมือนกัน ความที่เป็นคนช่างเลือกคนวันเสาร์ จึงไม่ใช่คนประเภทที่มีใครๆ เคียงข้างอยู่ตลอดเวลา บางปีถ้าไม่ปิ๊งใครมากๆ ก็ยอมเปลี่ยวใจตลอดปีไม่ซีเรียส ถ้าคนวันเสาร์ถูกใจใคร จะใช้เวลาดูใจดูนิสัยก่อนจะดำเนินความสัมพันธ์ต่อไปให้ลึกซึ้ง ด้วยความขี้ระแวงไม่ไว้ใจใครง่ายๆ ต้องดูแล้วดูอีกกว่าจะตัดสินใจเรื่องความเหมาะสมกัน คุณก็คิดมาก กว่าคนวันเกิดใดไม่ว่าจะเป็นเรื่องอายุหรือฐานะ เช่น อีกฝ่ายรวยกว่ามากหรือจนกว่ามากๆ คุณก็จะคิดมาก แม้จะรักแล้วแต่ก็ลังเล หรือถ้าอายุน้อยกว่ามากๆ หรือแก่กว่ามากๆ ก็กลัวว่าคนอื่นจะคิดยังไงช่องว่างระหว่างวัยจะมีหรือไม

นี่หละคือสไตล์ความคิดของคนวันเสาร์ ปัญหารักในเรื่องอื่นๆ ไม่ค่อยมีหรอก นอกจากจะสับสนกับตัวเอง

2008-08-07

.: แม่จ่ายหมดแล้ว........แต่ :.

เจ้าเด็กชายตัวน้อยของเราเข้าไปหาแม่ และส่งกระดาษให้
หลังจากแม่เช็ดมือจากผ้ากันเปื้อนแล้วเธอก็ก้มลงอ่าน


ค่าตัดหญ้า 5.00 บาท
ค่าทำความสะอาดห้องผม อาทิตย์นี้ 1.00บาท
ค่าซื้อของให้แม่ 2.50บาท
ค่าดู แลน้องชาย 2.50บาท
ค่าเอาขยะไปทิ้ง 1.00 บาท
ค่าได้คะแนนดี 5.00บาท
ค่ากวาดสนาม 2.00 บาท
รวมค้างชำระ 19.00 บาท


แม่หยิบปากกาขึ้นมา แล้วพลิกกระดาษไปด้านหลัง แล้วเขียน

เก้าเดือนที่แม่อุ้มท้อง ไม่คิดเงิน
เวลาแม่พยาบาลลูกและสวนมนต์ให้ ลูก ไม่คิดเงิน
ค่าที่ลูกทำให้แม่เสียน้ำตา ไม่คิดเงิน
แม้แต่เช็ดน้ำมูกให้ไม่คิดเงินหรอกจ๊ะลูก
แมื่อรวมทั้งหมดเป็น ราคาเต็มของความรัก ไม่คิดเงินเหมือนกัน


เมื่อเด็กชาย ของเราอ่านสิ่งที่แม่เขียน น้ำตาหยดโตก็ไหลออกมา
เขาสบตาแม่ แล้วพูดว่า ... แม่ครับผมรักแม่จริงๆ ครับ
แล้วจากนั้นเค้าก็ หยิบปากกาขึ้นมาเขียนหนังสือตัวโตๆ ว่า


จ่ายหมดแล้ว แม่จ่ายหมดแล้วแต่ลูกยังทอนไม่หมด....

แล้วคุณเคยทอนเงินให้แม่ซักครั้งบ้างหรือยัง

.: กฎหมายใดล้ตัว..ที่ประชาชนควรรู้ :.

1. การทะเบียนราษฎร์
บุตรเกิด ถ้าเกิดในบ้าน ให้เจ้าบ้านแจ้ง ถ้าเกิดนอกบ้าน ให้มารดาแจ้งภายใน 15 วัน นับแต่วันเกิด ชื่อบุตร ให้เจ้าบ้าน บิดา หรือมารดาแล้วแต่กรณี แจ้งชื่อบุตรพร้อมกับการแจ้งเกิด ถ้าจะเปลี่ยนชื่อให้แจ้งภายใน 6 เดือนนับแต่วันแจ้งชื่อครั้งแรก

ย้ายบ้าน ให้ผู้ย้ายหรือผู้ที่เจ้าบ้านมอบอำนาจแจ้งออกจากบ้านเดิมภายใน 15 วัน และเมื่อไปดยู่บ้านใหม่ให้แจ้งภายใน 15 วันเช่นกัน

คนตาย ถ้าในบ้านให้เจ้าบ้านแจ้ง ถ้าตายนอกบ้านให้ผู้ที่ไปกับผู้ตาย หรือผู้ที่พบศพเป็นผู้แจ้ง ภายใน 24 ช.ม. นับแต่เวลาตายหรือเวลาพบศพ

แจ้งที่ไหน กรณีบุตรเกิด ตั้งชื่อบุตร ย้ายบ้านหรือคนตาย ให้แจ้งดังนี้ ในเขตเทศบาล : ให้แจ้งที่สำนักงานท้องถิ่นซึ่งตั้งอยู่ที่สำนักงานเทศบาล นอกเขตเทศบาล : ให้แจ้งที่สำนักทะเบียนตำบล (บ้านกำนัน) หรือสำนักทะเบียนที่ผู้ว่าราชการจังหวัดแต่งตั้ง (เช่น เขตกรมทหาร) ความผิด ถ้าไม่แจ้งเกิดภายในกำหนดเวลา มีความผิดตามกฎหมาย มีโทษปรับไม่เกิน 200 บาท ถ้าไม่แจ้งการตายภายในเวลามีความผิดตามกฎหมย มีโทษปรับไม่เกิน 200 บาท


2. บัตรประจำตัวประชาชน
คนไทยซึ่งมีอายุตั้งแต่ 15 ปีบริบูรณ์ขึ้นไปจนถึง 70 ปี บริบูรณ์ ต้องไปขอทำบัตรที่อำเภอหรือที่ว่าการเขตภายใน 60 วัน นับตั้งแต่วันที่อายูครบ 15 ปีบริบูรณ์

บัตรประจำตัวประชาชนชำรุดหรือสูญหาย ต้องยื่นคำร้องขอมีบัตรใหม่ภายใน 30 วัน นับตั้งแต่บัตรเดิมชำรุดหรือสูญหาย (ต้องไปแจ้งบัตรหายที่สถานีตำรวจ)

อายุของบัตร กำหนดใช้ได้ 6 ปี เมื่อถึงกำหนดสิ้นอายุบัตรต้องไปติดต่อขอทำบัตรใหม่ภายใน 60 วันนับตั้งแต่วันสิ้นอายุ ณ อำเภอท้องที่ที่มีชื่อในทะเบียนบ้าน

ความผิด ผู้ถือบัตรผู้ใดไม่อาจแสดงบัตรได้ในเมื่อเจ้าพนักงานขอตรวจ มีโทษปรับไม่เกิน 100 บาท ผู้ไม่มีสัญชาติไทยยื่นคำร้องขอมีบัตรโดยแจ้งข้อความเท็จต่อเจ้าพนักงานว่าตนมีสัญชาติไทย มีโทษปรับไม่เกิน 2.000 บาทหรือจำคุกไม่เกิน 1 ปี หรือทั้งจำทั้งปรับ ไม่ยื่นคำร้องขอมีบัตรภายในกำหนดเวลา มีโทษปรับไม่เกิน 500 บาท บัตรหมดอายุไม่ต่อบัตรภายในกำหนด มีโทษปรับไม่เกิน 200 บาท


3. การรับราชการทหาร
กำหนดเวลาแสดงตนลงบัญชีทหารกองเกิน ชายไทยอายุย่างเข้า 18 ปี ต้องไปแสดงตนเพื่อลงบัญชีทหารกองเกินในเดือนพฤศจิกายนของปีที่อายุย่างเข้า 18 ปี สถานที่แสดงตนเพื่อลงบัญชีทหารกองเกินคือที่ว่าการอำเภอหรือกิ่งอำเภอที่เป็นภูมิลำเนาทหาร


4. การรักษาความสะอาด
ห้ามขีดเขียน วาดรูปวาดภาพบนรั้วผนังอาคาร ต้นไม้ หรือสิ่งใดใสที่สาธารณะ หรือเห็นได้จากที่สาธารณะนั้น ถ้าฝ่าฝืนมีโทษปรับไม่เกิน 200 บาท ห้ามติดตั้ง ตาก วางหรือแขวนสิ่งใดๆ ในที่สาธารณะหรือมองเห็นได้จากที่สาธารณะดดยไม่บังควรหรือทำให้มองดูแล้วไม่เป็นระเบียบเรัยบร้อย ถ้าฝ่าฝืนมีโทษปรับ 200 บาท ห้ามบ้วน สั่งหรือถ่มน้ำลาย น้ำมูก น้ำหมาก เสมหะหรือทิ้งสิ่งใดๆ ลบนท้องถนน พื้นรถ หรือเรือสาธารณะ โรงมหรสพ ร้านค้า หรือที่สาธารณะ ถ้าฝ่าฝืนมีโทษปรับไม่เกิน 100 บาท


5. การเรี่ยไร
ผู้ทำการเรี่ยไร ต้องมีใบอนูญาตให้ทำการเรี่ยไรติดตัวและต้องออกใบรับให้ผู้บริจาค


6.หนังสือมอบอำนาจ
การมอบอำนาจเป็นการตั้งตัวแทนเพื่อทำการสำหรับการมอบอำนาจให้กระทำการเกี่ยวกับที่ดินเป็นเรื่องสำคัญควรใช้หนังสือมอบอำนาจของกรมที่ดิน


7. เอกเทศสัญญา
กู้ยืม การกู้ยืมเงินกันเกินกว่าห้าสิบบาท จะต้องมีหลักฐานเป็นหนังสือแสดงว่ามีการกู้ยืมเงินกันจริงและต้องลงลายมือชื่อผู้กู้ด้วย

กฎหมายให้คิดอัตราดอกเบี้ยไม่เกินร้อยละ 15 บาทต่อปี

การจำนอง คือการกู้ยืมโดยมีทรัพย์สิน เป็นประกันโดยทั่วไปได้แก่ ที่ดิน บ้านพร้อมที่ดิน เรือยนต์ (5 ตันขึ้นไป) สัตว์พาหนะ ได้แก่ ช้าง ม้า วัว ความ หรืออสังหาริมทรัพย์อื่น ซึ่งกฎหมายหากบัญญัติไว้ให้จดทะเบียนเฉพาะกาล โดยทรัพย์ยังอยู่ที่ผู้จำนอง การจำนองต้องทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่

เช่าซื้อ ต้องทำเป็นหนังสือและปิดอากรแสตมป์เว้นแต่เช่าซื้อเครื่องมือการเกษตรไม่ต้องปิดอากรแสตมป์

เช่าทรัพย์ เช่าบ้านหรือที่ดินไม่เกิน 3 ปี ต้องทำเป็นหลักฐานเป็นหนังสือลงลายมือชื่อผู้เช่าและผู้ให้เช่า หากเกิน 3 ปี ต้องทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่



8. กฎหมายที่ดิน
เมื่อโฉนดใบจองหรือ นส.3 ชำรุด สูญหายหรือเป็นอันตรายต้องติดต่ออำเภอหรือสำนักงานทะเบียนที่ดิน เพื่อขอออกใบใหม่หรือใบแทน มิฉะนั้นผู้อื่นที่ได้หนังสือสำคัญไปอาจนำไปอ้างสิทธิ ทำให้เจ้าของเดิมเสียประโยชน์ได้

ที่ดินมือเปล่า เจ้าของควรดูแลรักษาให้ดี อย่าทอดทิ้งหรือปล่อยให้รกร้างว่างเปล่า หากมีผู้ครอบครองก็หาทางไล่ออกไปเสีย มิฉะนั้นเจ้าของจะเสียสิทธิไป นอกจากนี้ หากไม่มี ส.ค.1 ก็ควรหาทางขอ น.ส.3 แล้วต่อไปก็ขอให้มีโฉนดเสียให้เรียบร้อยเพราะทำให้ได้ประโยชน์มากขึ้นและปลอดภัยจากการเสียสิทธิมากขึ้น

ที่ดินมีโฉนด อย่าทอดทิ้งหรือปล่อยให้รกร้างหรือให้คนอื่นครอบครองไว้นานๆ อาจเสียสิทธิได้เช่นกัน

การทำนิติกรรม ต้องทำให้สมบูรณ์ตามกฎหมายโดยทำที่อำเภอหรือสำนักงานทะเบียนที่ดิน



9. อาวุธปืน
ผู้ที่ประสงค์จะขอมีอาวุธปืน เพื่อใช้หรือเก็บไว้ป้องกันตัวหรือทรัพย์สิน ให้ยื่นคำร้องขอตามแบบ ป.1 ต่อนายทะเบียนท้องที่ กรุงเทพมหานคร ได้แก่ ผู้บังคับการกองทะเบียนกรมตำรวจ จังหวัดอื่นๆ ผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นนายทะเบียนท้องที่จังหวัด

การแจ้งย้ายอาวุธปืน เมื่อผู้ได้รับอนุญาตให้มีและใช้อาวุธปืนย้ายภูมิลำเนา ต้องแจ้งย้ายอาวุธปืนต่อนายทะเบียนภายใน 15 วัน นับแต่วันย้าย และถ้าย้ายไปต่างท้องที่ให้แจ้งการย้ายต่อนายทะเบียนท้องที่ใหม่ภายใน 15 วัน นับแต่วันที่ย้ายไปถึงอีกด้วย

การรับมรดกปืน เป็นหน้าที่ของทายาทหรือผู้ครอบครอง ต้องไปแจ้งการตายต่อนายทะเบียนท้องที่ ภายใน 30 วัน นับตั้งแต่วันทราบการตายและยื่นคำร้องขอรับมรดกอาวุธปืนนั้นต่อไป ใบอนุญาตสูญหายหรือชำรุดอ่านไม่ออก ให้ยื่นคำร้องขอรับใบแทนต่อนายทะเบียนท้องที่ภายใน 30 วัน นับแต่วันทราบเหตุ

อาวุธปืนหายหรือถูกทำลาย ให้เจ้าของแจ้งเหตุพร้อมด้วยหลักฐานและส่งมอบใบอนุญาตต่อนายทะเบียนท้องที่ที่ตนอยู่หรือนายทะเบียนท้องที่ที่เกิดเหตุภายใน 15 วัน นับแต่วันทราบเหตุ

*ความผิดและโทษของอาวุธปืน มีและพกอาวุธปืนโดยไม่ได้รับอนุญาต ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ 1 ปีถึง 10 ปี ปรับตั้งแต่ 2,000 บาทถึง 20,000 บาท พกพาอาวุธปืนติดตัวไปในเมือง หมู่บ้าน หรือทางสาธารณะโดยไม่ได้รับอนุญาตให้พก เว้นแต่กรณีมีเหตุจำเป็นเร่งด่วน ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี หรือปรับไม่เกิน 10,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

ผู้ใดพกพาอาวุธปืนไปโดยเปิดเผย หรือพาไปที่ชุมชนที่ได้จัดให้มีขึ้นเพื่อนมัสการ การรื่นเริง การมหรสพ หรือการอื่นใด ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ 6 เดือน ถึง 5 ปี และปรับตั้งแต่ 1,000 บาท ถึง 10,000 บาท แม้ว่าผู้นั้นจะได้รับอนุญาตพกพาอาวุธปืนหรือกรณีเร่งด่วนก็ตาม

.: มองที่ปัญหา หรือ มองที่ทางออก :.

เรื่องแรก
อเมริกาส่งนักบินไปในอวกาศเจอปัญหาปากกาเขียนไม่ออก
นักวิทยาศาสตร์ระดมปัญญาเพื่อประดิษฐ์ปากกา
ที่สามารถเขียนในภาวะไร้แรงโน้มถ่วงได้
ต้องทุ่มเงินหลายร้อยล้านเหรียญและใช้เวลาไปหลายปี
ในที่สุดได้ปากกาที่สามารถเขียนได้ทุกพื้นผิว
แม้ใต้น้ำก้อเขียน ได้
ถือว่าประสบความสำเร็จอย่างใหญ่หลวง
แต่นักบินอวกาศรัสเซีย ประสบปัญหาเดียวกัน
ใช้ดินสอเขียนแทนปากกา

*******************************
เรื่องที่สอง
โรงงานผลิตสบู่ในญี่ปุ่นประสบปัญหา
เมื่อส่งสินค้าไปแล้วลูกค้าบ่นเรื่องบางกล่องไม่มีสบู่ เป็นกล่องเปล่าๆ
ทางโรงงานติดตั้งเครื่อง X-Ray เพื่อตรวจสอบ
ใช้เงินลงทุนไปหลายล้านเยน กล่องไหนไม่มีสบู่ก้อตรวจจับได้
ทำให้สามารถส่งสบู่ที่ไม่มีกล่องเปล่าอีก
แต่โรงงานเล็กๆ อีกโรงประสบปัญหาเดียวกัน
ช่างคุมงานใช้พัดลมตัวใหญ่ๆ เป่าลมบนสายพาน
กล่องเปล่าก็ปลิวออกไป

******************************
คนเราเวลาประสบปัญหา ส่วนมากมักคิดแต่จะแก้ปัญหา
ทุ่มกำลังสติปัญญาและทุ่มเทเวลาเพื่อแก้ปัญหานั้น
ถ้าคุณเปลี่ยนเป็นมองที่ทางออก!
ปัญหาและอุปสรรคทั้งหลายดูจะกลายเป็นเรื่องจ้อยไปเลย

**************************

2008-07-29

เกิดอะไรขึ้นที่ ปตท. น้ำมันและแก๊สไปไหน

'พันตรี'สุดทนแฉปตท.สูญเกือบ4ล้านล้าน

'พ.ต.รัฐเศรษฐ'ขึ้นเวทีพันธมิตรฯแฉ'ระบอบทักษิณ'รวมหัวงาบกำไรแก๊ส-น้ำมันจากการแปรรูป ปตท.ชาติสูญเสีย7ปีร่วม3.5ล้านล้านบาท ปูดขนน้ำมันดิบไทยส่งสิงคโปร์-อเมริกาตั้งราคาฟันส่วนตั้งกว่า100% ปลุกทวงคืนเป็นของประชาชน

กรุงเทพธุรกิจ ออนไลน์ : วานนี้ (28 มิ.ย.) พ.ต.รัฐเศรษฐ แจ้งจำรัส ซึ่งทำงา! นในแท่นขุดเจาะน้ำมัน ได้ขึ้นเวทีพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ที่สะพานชมัยมรุเชฐ ระบุถึงกรณีการปิโตเลียมถูกระบอบทักษิณฉ้อฉล เราจึงไปตรวจสอบแล้วพบว่า ปัญหาใหญ่เกิดจากการขึ้นราคาน้ำมัน และราคาแก๊สแพงกว่าปกติ รวมทั้งรถเมล์ขึ้นค่าโดยสารก็ขึ้นราคา อีกทั้งอสังหาริมทรัพย์ชะลอตัว

'เดิมทีปั๊มมีอยู่ทั่วประเทศกว่า 3 หมื่นแห่ง ขณะนี้เจ๊งไปเกือบหมดแล้ว เพราะเดิมทีเขาขายน้ำมัน 7 บาท เขาได้กำไร 2.30 บาท แต่ตอนหลังเข้ายึดครองการตลาด ก็จะเห็นเพียงแต่ปั๊มใหม่ๆ ซึ่งมีทั้งปั๊มบางจาก ปั๊มเจ็ท และปั๊ม ปตท.เท่านั้น ที่กระจายกันอยู่ทั่วประเทศ'

พ.ต.รัฐเศรษฐ กล่าวอีกว่า ผู้ตกเป็นเหยื่อของกระบวนการปล้นน้ำมัน ได้แก่ รถสิบล้อ รถปิกอัพ ร! วมไปถึงควายเหล็กของชาวบ้าน นอกจากนี้ สิ่งที่ไม่มีใครหรือสื่อมวลชนนำมาต ีแผ่ให้ประชาชนรับรู้ คือหลักในการคำนวณน้ำมันเชื้อเพลิง ซึ่งสามารถคำนวณได้ดังนี้

1 บาร์เรล เท่ากับ 159 ลิตร โดย 1 ดอลลาร์ เท่ากับ 33 บาท ซึ่งถ้าคำนวณเป็นเงินแล้ว 1 ลิตร จะเท่ากับ 27.78 บาท แต่วันนี้บ้านเราขายน้ำมันดีเซลลิตรละ 42 บาท ถือว่าแพงผิดปกติ แพงที่สุดในโลก เพราะเมื่อคำนวณกลับไปแล้วจะเท่ากับว่าราคาน้ำมันดิบจะอยู่ที่ 202 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ทั้ง ๆ ที่ราคาน้ำมันในประเทศสหรัฐอเมริกาเพียง 138 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล

ทั้งนี้ ในภูมิภาคของเรามีทรัพยากรพลังงานธรรมชาติมากมายมหาศาล แต่กลับต้องใช้น้ำมันราคาแพงกว่าประเทศสิงคโปร์ และมาเลเซีย ซึ่งเกิดจากจากการแปรรูป ปตท.เข้าตลาดหลักทรัพย์ ซึ่ง ปตท.มีกำลังการผลิตน้ำมันวันละ 100 ล้านลิตร คำนวณเป็นเงินแล้วเฉลี่ยตกวันละ 2,500 ล้านบาท ซึ่งไม่มีใครเคยบอกเรา มีแต่บอกว่านำเข้านำมันจากต่างประเทศ ดังนั้น เราจะต้องกอบกู้เอาพลังงานปิโตเลียม และน้ำมัน กลับมาเป็นของประชาชนโดยตรง

พ.ต.รัฐเศรษฐ กล่าวอีกว่า ที่สำคัญคือ แหล่งน้ำมันดิบ และแก๊สธรรมชาติไม่ถูกเปิดเผยข้อเท็จจริง วันนี้เราผลิตแก๊สธรรมชาติได้วันละ 5,000 ล้านลูกบาศก์ฟุต ! ซึ่งคำนวณแล้วไทยสามารถผลิตได้เฉลี่ย 138 ล้านลิตรต่อวัน แต่กลับอ้างว่าต้องนำเข้า จนเป็นเงื่อนไขขอขึ้นราคา ขอลอยตัวราคาแก๊ส อย่างนี้ไม่ยุติธรรมกับประชาชน อีกทั้งแท่นขุดเจาะน้ำมันในอ่าวไทย และบนบก ซึ่งมีอยู่ประมาณ 1,300 แท่น มูลค่าทรัพย์สินประมาณ 1 ล้านล้านบาท แต่เมื่อระบอบทักษิณเอาไปแปรรูปเข้าตลาดหลักทรัพย์ขายเพียง 3 หมื่นล้านบาท ถูกจองเกลี้ยงภายในเวลา 1 นาทีเศษเท่านั้น

'ผมแทบน้ำตาไหล เพราะผมทำงานอยู่ที่แท่นขุดเจาะน้ำมัน แต่น้ำมันดิบที่นำขึ้นมาเขาเอาใส่เรือวิ่งไปทางสิงคโปร์ และออกไปทางจีน ญี่ปุ่น และอเมริกา ไม่ยอมเข้าระบบกลไกภาษีของเรา เพราะที่โน้นมีเท่าไหร่เขารับซื้อไม่อั้น นอกจากนี้ แม้แต่กรมเชื้อเพลิงธรรมชาติ เขาก็เอ! าไปไว้ที่อาคารชินวัตรชั้น 26 ที่สำคัญหลังจากแปรรูป ปตท.แม้ รัฐบาลถือหุ้นใหญ่ 52 เปอร์เซ็นต์ แต่กลับได้ผลตอบแทนน้อยมากเพียง 3 หมื่นล้านบาท และภาษีน้ำมันรวมผลิตภัณฑ์ทุกอย่างเก็บได้แค่ 7.7 หมื่นล้านบาทต่อปี ทั้งที่ ปตท.บอกว่าภาษีน้ำมันประมาณ 13 บาท ส่งให้หลวงหมด ซึ่ง 1 ปีจะตกอยู่ที่ประมาณ 6-7 แสนล้านบาท เท่ากับเงินหายไป 5-6 แสนล้านบาทต่อปี รวมทั้งสิ้นเมื่อ ปตท.แปรรูปรวม ! 7 ปีเงินหายไป 3.5 ล้านล้านบาท'

พ.ต.รัฐเศรษฐ กล่าวอีกว่า ดังนั้นถ้ามีการยึดทรัพย์ นายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรี จะจ่ายคืนให้กับเราวันละประมาณ 1,500 ล้านบาทที่เราถูกโกงไปหรือไม่ ซึ่งเราไม่เคยได้รับรู้รับทราบ เพราะไม่เคยมีใครเปิดเผยข้อมูล ทั้งนี้ตนพร้อมที่จะรับผิดชอบคำพูดและข้อมูลตัวเลขแผนที่สำรวจแหล่งพลังงานในประเทศไทย เพราะข้อมูลทั้งหมดเป็นของทางราชการทั้งสิ้น

เครื่องดื่มตามกรุ๊ปเลือด

เลือดกรุ๊ปโอ
จะมีกรดในกระเพาะอาหารสูง สามารถย่อยอาหารจำพวกเนื้อสัตว์ได้อย่างรวดเร็ว แต่ไม่ควรกินอาหารจำพวกแป้งมากเกินไป เพราะจะย่อยยาก และเมื่อเกิดการสะสมแป้ง ร่างกายจะเปลี่ยนแป้งให้เป็นน้ำตาล และจะกลายเป็นโรคเบาหวานและทำให้อ้วนง่าย อาหารที่ควรทานคืออาหารจำพวกสาหร่าย เกลือไอโอดีน อาหารทะเล และควรกินตับ กินบลอกโคลี ผักโขม เพราะจะช่วยในเรื่องประสิทธิภาพการเผาผลาญมากขึ้น
เครื่องดื่มที่เหมาะกับเลือดกรุ๊ปโอคือ น้ำสัปปะรด น้ำลูกพรุน แต่ไม่ควรดื่มน้ำแอบเปิล น้ำส้ม น้ำกระหล่ำปลี

เลือดกรุ๊ปเอ
กรุ๊ปนี้จะตรงข้ามกับกรุ๊ปโอแทบจะทุกอย่าง เพราะเลือดกรุ๊ปนี้จะมีกรดในกระเพาะอาหารต่ำ จึงเหมาะกับอาหารมังสวิรัติและควรหลีกเลี่ยงเนื้อสัตว์ เพราะหากกินมากเกินไปร่างกายจะไม่ยอมย่อย ทำให้เกิดโรคภัยไข้เจ็บต่างๆ เช่นโรคหัวใจและโรคมะเร็ง หากต้องการกินเนื้อจริงๆ ควรบริโภคแค่เนื้อไก่เพราะไม่มีไขมันมาก หรือกินถั่วเหลืองแทนเพื่อทดแทนโปรตีนจากเนื้อสัตว์ แล้วควรหลีกเลี่ยงอาหารจำพวกอาหารสำเร็จรูป เช่นไส้กรอก แฮม เพราะอาหารจำพวกนี้มีสารดินประสิวที่ไปกระตุ้นให้เกิดมะเร็งในกระเพาะอาหาร ควรหันมากินผักและอาหารจากถั่วเหลือง เพื่อช่วยในเรื่องของระบบย่อยอาหารให้ทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ
เครื่องดื่มที่เหมาะสมกับคนเลือดกรุ๊ปเอก็คือ น้ำแอปปริคอต น้ำแครอต น้ำเซเลรี น้ำเกรปฟรุต น้ำสัปปะรด น้ำมะนาว เพราะมีวิตามินซีสูง แต่ไม่ควรดื่มน้ำส้ม น้ำมะละกอ และน้ำมะเขือเทศ

เลือดกรุ๊ปบี
เป็นกรุ๊ปเลือดที่สามารถต้านทานโรคมะเร็งและโรคหัวใจได้ แต่ยังมีปัญหาเรื่องภูมิคุ้มกันของร่างกาย จึงควรกินอาหารจำพวกผักใบเขียว ตับ ไข่ นมไขมันต่ำ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการเผาผลาญ และ
ควรดื่มน้ำกระหล่ำปลี น้ำแครนเบอร์รี่ น้ำองุ่น น้ำมะละกอ น้ำสัปปะรด แต่ไม่ควรดื่มน้ำมะเขือเทศ

เลือดกรุ๊ปเอบี
คนเลือดกรุ๊ปนี้เสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งในกระเพาะอาหาร
จึงควรรับประทานอาหารที่มีวิตามินซี เช่น บรอกโคลี เชอร์รี่ ส้มโอ เกรปฟรุต กะหล่ำปลี และดื่มน้ำแครอต น้ำเซเลรี น้ำแครนเบอร์รี่ น้ำองุ่น และน้ำมะละกอ เพราะช่วยต้านมะเร็งได้ แต่ไม่ควรดื่มน้ำส้มเพราะทำให้ย่อยยาก

ที่มาจาก tttonline.net

2008-07-23

.: ความหมายของเลขประจำตัวประชาชนทั้ง 13 หลัก :.

หลักที่ 1 หมายถึงประเภทบุคคลซึ่งมี 8 ประเภท คือ
   ประเภทที่ 1 ได้แก่ คนที่เกิดและมีสัญชาติไทย ได้แจ้งเกิดภายในกำหนดเวลา (ตั้งแต่ 1 มกราคม 2527)
   ประเภทที่ 2 ได้แก่ คนที่เกิดและมีสัญชาติไทย ได้แจ้งเกิดเกินกำหนดเวลา (ตั้งแต่ 1 มกราคม 2527)
   ประเภทที่ 3 ได้แก่ คนไทยและคนต่างด้าวที่มีใบสำคัญประจำตัวคนต่างด้าว และมีที่อยู่ในทะเบียนบ้าน ในสมัยเริ่มแรก (1 มกราคม - 31 พฤษภาคม 2527)
   ประเภทที่ 4 ได้แก่ คนไทยและคนต่างด้าวที่มีใบสำคัญคนต่างด้าวแต่แจ้งย้ายเข้า โดยยังไม่มีเลขประจำตัวประชาชนในสมัยเริ่มแรก (1 มกราคม - 31 พฤษภาคม 2527)
   ประเภทที่ 5 ได้แก่ คนไทยที่ได้รับอนุมัติให้เพิ่มชื่อเข้าในทะเบียนบ้านในกรณีตกสำรวจหรือกรณีอื่น ๆ
   ประเภทที่ 6 ได้แก่ ผู้ที่เข้าเมืองโดยไม่ชอบด้วยกฏหมาย และผู้ที่เข้าเมืองโดยชอบด้วยกฏหมาย แต่จะอยู่ในลักษณะชั่วคราว
   ประเภทที่ 7 ได้แก่ บุตรของบุคคลประเภทที่ 6 ซึ่งเกิดในประเทศไทย
   ประเภทที่ 8 ได้แก่ คนต่างด้าวที่เข้าเมืองโดยถูกต้องตามกฏหมาย คือ ได้รับใบสำคัญประจำตัวคนต่างด้าว คนที่ได้รับการแปลงสัญชาติเป็นสัญชาติไทย และคนที่ได้รับการให้สัญชาติไทย

หลักที่ 2 ถึงหลักที่ 5 หมายถึงรหัสของสำนักทะเบียนที่ท่านมีชื่อในทะเบียนบ้านในขณะให้เลข สำหรับเด็กเกิดใหม่จะหมายถึงถิ่นที่เกิดเลยทีเดียว โดยหลักที่ 2 และ 3 หมายถึงจังหวัด หลักที่ 4 และ 5 หมายถึงอำเภอ หรือเทศบาล

หลักที่ 6 ถึงหลักที่ 10 หมายถึงกลุ่มที่ของบุคคลแต่ละประเภทตามหลักแรก หรือหมายถึงเล่มที่ ของสูติบัตร แล้วแต่กรณี

หลักที่ 11 และ 12 หมายถึงลำดับที่ของบุคคลในแต่ละกลุ่มประเภท หรือหมายถึงใบที่ของสูติบัตรแต่ละเล่ม แล้วแต่กรณี

หลักที่ 13 คือ ตัวเลขตรวจสอบความถูกต้องของเลข 12 หลักแรก

๏~* สัมผัสที่ 6 ประจำวันเกิด *~๏

สงสัยไหมว่าทำไมบางคนถึงเห็นผี และเห็นบ่อยซะด้วย แต่บางคนก็ไม่เคย แม้แต่จะเจอ ลบหลู่ขนาดไหนก็ไม่เจอ ลองอ่าน นี่แล้วอาจจะเข้าใจมากขึ้น เหอะๆๆๆๆๆ

๛ เกิดวันอาทิตย์
ช่วงไหนที่คุณเจ็บป่วย ไม่สบาย หรือไม่ก็อ่อนแอ
ทางจิตใจ ให้หลีกเลี่ยงที่จะใกล้ชิดกับผู้หญิง
ที่กำลังตั้งท้อง เพราะพลังอะไรบางอย่างที่ลึกลับ
อาจจะทำให้คุณเห็นผี หรือ วิญญาณ ได้


๛ เกิดวันจันทร์
สำหรับคุณแล้ว จะส่องกระจกน่ะส่องได้
แต่อย่าส่องหลังเวลาเที่ยงคืนถึงเช้า โดย
เฉพาะในกระจกร้าว และถ้าได้ยินเสียงอะไร
แปลกๆ หรือเสียงเรียกเวลาค่ำคืน อย่าพูดทัก
หรือขานตอบ เพราะนั่นอาจจะเป็นเสียง
ที่ทวงถามวิญญาณของคุณก็ได้


๛ เกิดวันอังคาร
คนเกิดวันอังคารลำบากกว่าคนเกิดวันอื่น
เสียแล้ว เพราะคุณไม่ควรเข้าห้องน้ำนอกบ้าน
ถ้าไม่มีธุระ คุณควรจะอยู่ให้ห่างจากห้องน้ ำ
ที่ไม่น่าไว้ใจเอาไว้ เพราะอาจมีบางอย่าง
แอบติดตามคุณออกมา หรือปรากฏให้คุณเห็น


๛ เกิดวันพุธ
คุณไม่ควรไปงานศพ เพราะอาจจะมีวิญญาณ
ติดตามตัวคุณกลับออกมา แต่ถ้าหากว่าเป็น
งานที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ หลังจากที่กลับมาจาก
งานศพแล้ว ให้รีบอาบน้ำก่อนเที่ยงคืน
และถ้าจะให้ดีน้ำที่อาบควรเป็นน้ำว่าน


๛ เกิดวันพฤหัส
ในยามวิกาล มืดๆ อย่ามองไปที่หัวบันได
เพราะคุณอาจจะมีอะไรบางอย่างปรากฏ
ให้คุณเห็นที่ตรงนั้น หากว่าได้ยินเสียงแป ลกๆ
คล้ายๆ กับเรียกชื่อคุณ อย่าขานตอบ ให้ก้า
วเท้าถอยหลัง 1 ก้าว แล้วเสียงนั้นจะหายไป


๛ เกิดวันศุกร์
เคยได้ยินหรือเปล่าว่าธาตุน้ำ อาจจะเป็นเหมือน
ประตูเชื่อมระหว่างโลกมนุษย์ กับ โลกวิญญาณ
ดังนั้น คนที่เกิดวันศุกร์อย่างคุณควรหลีกเลี่ยง
การเดินทางทางน้ำ


๛ เกิดวันเสาร์
ศาลพระภูมิ คือ สิ่งต้องห้ามสำหรับคนเกิ ดวันเสาร์
ไหว้ เคารพ ได้ แต่อย่ามองจ้อง หากได้ยินเสียง
หมาเห่า หอน เกรียวกราว ใกล้ๆ ตัว นั่นอาจแปล
ได้ว่าคุณกำลังโดนติดตามโดยภูตผี วิญญาณ


คำแนะนำ เป็นความเชื่ื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณ

2008-07-16

.: 10 อันดับสิ่งของถวายสังฆทาน(ที่ควรรู้) :.

ถึงเพื่อนๆและพี่ๆ เห็นว่ามีประโยชน์เลยเอามาบอกต่อ

เมื่อวันเสาร์ได้ดูรายการ จุดเปลี่ยน เค ้าไปสำรวจสิ่งของต่างๆที่บรรจุอยู่ในถังสังฆทานที่พวกเรา เคยซื้อ

และนำไปถวายพระ ซึ่งส่วนมากจะใช้ไม่ได้หรือบางอย่างก็ไม่ใช้ เช่นผ้าขนหนูผืนเล็กๆเท่ากับผ้าเย็นหรือผ้าอังสะ

ที่บางมากๆ เครื่องดื่มชนิดชงอย่างเช่นน้ำขิงผง ในกล่องบรรจุจะมีแค่ 1 ซอง เป็นต้น ทางรายการจึง ทำแบบสอบถามพระสงฆ์(จากหลายๆวัด)เลย ได้10 อันดับสิ่งของถวายสังทาน คือ
1.อุปกรณ์ เค รื่องเขียน ได้แก่สมุด ปากาไ ม้บรรทัด เป็นต้น
2.ใบมีดโกน ที่เป็นแบบด้ามเหล็ก
3.ผ้าไตรจีวร
4.หนังสือที่มีประโยชน์ เช่น หนังสือสวดมนต์ หนังสือที่เกี่ยวกับธรรมะ หนังสือทางวิชาการ และสารคดีที่ให้ความรู้
5.รองเท้าแตะ สีดำรูปแบบตามความเหมาะสม
6.ยารักษาโรคที่ใช้กันทั่วๆไป เช่น แก้ปวด แก้ไข้ ยาลดกรด เป็นต้น
7.ผ้าขนหนูเนื้อดีๆ ขนาดเหมาะสม สีเหลืองนะจ๊ะ
8.อุปกรณเกี่ยวกับไฟฟ้าและคอมพิวเตอร์
9.อุปกรณ์ทำความสะอาดเช่น น้ำยาล้างจาน น้ำยาทำความสะอาดพื้น แปร ง ขัดพื้น เป็นต้น
10.ยาสระผม (ใช้สำหรับสระหนังศรีษะและตอนโกนผม)

คิดว่าครั้งต่อๆไปจะถวายสังฆทานเราควรจะเลือกสิ่งของที่ถวายพระแล้วท่านได้ใช้กันเนอะ

ปล.แค่ส่งต่อหรือบอกต่อก็ได้บุญแล้ว สาธุจ้า

2008-07-01

.: กฏแห่งกรรม :.


1. เหตุใดคุณมีเสื้อผ้าแพรพรรณอันงดงามสวมใส่มากมาย
เพราะชาติก่อนคุณเคยถวายจีวรแด่พระสงฆ์

2. เหตุใดชาตินี้คุณมีอาหารดีดีรับประทานอยู่เสมอ
เพราะชาติก่อนคุณเคยทำทานอาหารแก่คนยากจนในชาติก่อน

3. เหตุใดชาตินี้คุณอดอยากยากจน ไม่มีเสื้อผ้าดีดีสวมใส่
เพราะคุณตระหนี่ขี้เหนียวไม่ยอมทำทานคนจน ในชาติก่อน

4. เหตุใดชาตินี้คุณมีบ้านเรือนใหญ่โต
เพราะคุณเคยถวายข้าวสารเข้าวัดในชาติก่อน

5. เหตุใดชาตินี้คุณมีความเจริญรุ่งเรืองและมีความสุขมาก
เพราะคุณเคยถวายเงินสร้างวัดในชาติก่อน

6. เหตุใดชาตินี้คุณเป็นคนสวย และรูปงาม
เพราะคุณเคยถวายดอกไม้สดบูชาพระด้วยความเคารพในชาติก่อน

7. เหตุใดชาตินี้คุณเป็นคนฉลาดปราดเปรื่องมีปัญญาดี
เพราะคุณเคยเป็นพุทธมามกะและทานมังสวิรัติในชาติก่อน

8. เหตุใดชาตินี้คุณเป็นที่รักของทุกๆ คนและมีเพื่อนมากมาย
เพราะคุณเคยสร้างมนุษย์สัมพันธ์ที่ดีต่อทุกคนในชาติก่อน

9. เหตุใดชาตินี้คุณมีพ่อ แม่อยู่พร้อมหน้า
เพราะคุณเคารพและให้ความช่วยเหลือ ไม่ดูแคลนคนไร้ญาติในชาติก่อน

10. เหตุใดชาตินี้คุณเป็นเด็กกำพร้า
เพราะคุณเคยยิงนก ตกปลา และพรากสัตว์ในชาติก่อน

11. เหตุใดชาตินี้คุณมีอายุยืนแข็งแรง
เพราะคุณเคยปล่อยนก ปล่อยปลา สิ่งมีชีวิตในชาติก่อน

12. เหตุใดชาตินี้คุณอายุสั้น
เพราะชาติก่อนคุณเคยฆ่าสัตว์มากมาย

13. เหตุใดชาตินี้คุณเป็นคนรับใช้
เพราะชาติก่อนคุณเคยดูถูกเหยียดหยามคนจน

14. เหตุใดชาตินี้คุณมีดวงตาสดใส
เพราะชาติก่อนคุณเคยเติมน้ำมันตะเกียงและจุดไฟบูชาพระ

15. เหตุใดชาตินี้คุณโง่ปัญญาอ่อนและหูหนวก
เพราะชาติก่อนคุณเคยด่าว่าและหยาบคายต่อหน้าพ่อแม่

16. เหตุใดชาตินี้คุณต้องตายเพราะยาพิษ
เพราะชาติก่อนคุณเจตนาวางยาในต้นน้ำลำธารให้เป็นพิษ

17. เหตุใดชาตินี้คุณจึงแขวนคอตาย
เพราะชาติก่อนคุณใช้ตะข่ายล่าและดักสัตว์

18. ถ้าชาตินี้คุณฆ่าเขา
ชาติหน้าเขาก็จะฆ่าคุณ และจะฆ่ากันไป-มาไม่มีสิ้นสุด

19. ถ้าชาตินี้คุณบอกเล่ากฏแห่งกรรม
คุณจะเป็นที่เคารพนับถือมากมายในชาติหน้า

2008-06-23

.: คิดบวก ชีวิตบวก :.


เวลาเจองานหนัก ให้บอกตัวเองว่า นี่คือโอกาสในการเตรียมพร้อมสู่ความเป็นมืออาชีพ
เวลาเจอปัญหาซับซ้อน ให้บอกตัวเองว่า นี่คือบทเรียนที่จะสร้างปัญญาได้อย่างวิเศษ
เวลาเจอความทุกข์หนัก ให้บอกตัวเองว่า นี่คือแบบฝึกหัดที่จะช่วยให้เกิดทักษะในการดำเนินชีวิต
เวลาเจอนายจอมละเมียด ให้บอกตัวเองว่า นี่คือการฝึกตนให้เป็นคนสมบูรณ์แบบ (Perfectionist)
เวลาเจอคำตำหนิ ให้บอกตัวเองว่า นี่คือการชี้ขุมทรัพย์มหาสมบัติ
เวลาเจอคำนินทา ให้บอกตัวเองว่า นี่คือการสะท้อนว่าเรายังคงเป็นคนที่มีความหมาย
เวลาเจอความผิดหวัง ให้บอกตัวเองว่า นี่คือวิธีที่ธรรมชาติกำลังสร้างภูมิคุ้มกันให้กับชีวิต
เวลาเจอความป่วยไข้ ให้บอกตัวเองว่า นี่คือการเตือนให้เห็นคุณค่าของการรักษาสุขภาพให้ดี
เวลาเจอความพลัดพราก ให้บอกตัวเองว่า นี่คือบทเรียนของการรู้จักหยัดยืนด้วยขาตัวเอง
เวลาเจอลูกหัวดื้อ ให้บอกตัวเองว่า นี่คือโอกาสทองของการพิสูจน์ความเป็นพ่อแม่ที่แท้จริง
เวลาเจอแฟนทิ้ง ให้บอกตัวเองว่า นี่คือความเป็นอนิจจังที่ทุกชีวิตมีโอกาสพานพบ
เวลาเจอคนที่ใช่แต่เขามีคู่แล้ว ให้บอกตัวเองว่า นี่คือประจักษ์พยานว่าไม่มีใครได้ทุกอย่างดั่งใจหวัง
เวลาเจอภาวะหลุดจากอำนาจ ให้บอกตัวเองว่า นี่คือความอนัตตาของชีวิตและสรรพสิ่ง
เวลาเจอคนกลิ้งกะล่อน ให้บอกตัวเองว่า นี่คืออุทาหรณ์ของชีวิตที่ไม่น่าเจริญรอยตาม
เวลาเจอคนเลว ให้บอกตัวเองว่า นี่คือตัวอย่างของชีวิตที่ไม่พึงประสงค์
เวลาเจออุบัติเหตุ ให้บอกตัวเองว่า นี่คือคำเตือนว่าจงอย่าประมาทซ้ำอีกเป็นอันขาด
เวลาเจอศัตรูคอยกลั่นแกล้ง ให้บอกตัวเองว่า นี่คือบททดสอบว่าที่ว่า 'มารไม่มีบารมีไม่เกิด'
เวลาเจอวิกฤต ให้บอกตัวเองว่า นี่คือบทพิสูจน์สัจธรรม 'ในวิกฤตย่อมมีโอกาส'
เวลาเจอความจน ให้บอกตัวเองว่า นี่คือวิธีที่ธรรมชาติเปิดโอกาสให้เราได้ต่อสู้ชีวิต
เวลาเจอความตาย ให้บอกตัวเองว่า นี่คือฉากสุดท้ายที่จะทำให้ชีวิตมีความสมบูรณ์

2008-06-12

.: โรคกรรม :.

ไปเยี่ยมเยียน หมอน้องชายเล่าเรื่องแปลกของคนไข้รายหนึ่ง
เล่าให้ฟังซึ่งน่าจะเป็นอุทาหรณ์ให้ผู้คนละบาปได้ดีจึงขอเล่าสู่กันฟังต่อ …….

การสนทนาตอนหนึ่งหมอน้องชายเล่าให้ฟังว่าตั้งแต่เป็นหมอมาไม่เคยเห็นผู้ป่วยรายใดต้องผ่าตัดทุลักทุเลซ้ำซากอย่างนี้เลย สามปีต้องผ่าตัดห้าครั้งและหนักหนายิ่งขึ้นทุกครั้ง ผู้ป่วยรายนี้ชื่อบุญมาครั้งแรกที่เข้าโรงพยาบาลก็เพื่อมาทำแผลที่นิ้วก้อยที่ถูกตะพาบน้ำกัดหมอให้ทายากินยาแก้ปวดแก้อักเสบแล้วกลับบ้านดูแล้วไม่น่าจะมีปัญหาอีกครึ่งเดือนต่อมาบุญมากลับมาใหม่แผลเก่าอักเสบรุนแรงบวมใหญ่ หมอตรวจพบว่าเชื้อโรคกินเข้ากระดูก จะต้องตัดนิ้วเพื่อไม่ให้เน่าลุกลาม ซึ่งนิ้วเท้านั้นอาจทำให้ถึงแก่ชีวิตได้ หลังจากนั้นครึ่งปีบุญมาไปเที่ยวชายทะเลเขาถูกตะพาบน้ำกัดที่นิ้วเท้าอีก อะไรจะเจาะจงได้ถึงอย่างนั้นนิ้วเท้าของบุญมาที่ถูกตะพาบน้ำกัดครั้งที่สองอักเสบบวมใหญ่ ภายในเวลาสองวัน เมื่อมาฉายเอกซเรย์ที่โรงพยาบาลก็ได้พบอีกว่า เชื้อโรคกินเข้าไปถึงกระดูกหมดจึงต้องตัดนิ้วเท้าของเขาไปอีกหนึ่งนิ้ว เวลาผ่านไปไม่ถึงหนึ่งปีบุญมากลับมาที่โรงพยาบาลอีก ครั้งนี้แผลเก่าทั้งสองแห่งเกิดอักเสบบวมใหญ่ขึ้นพร้อมกัน พอเอกซเรย์ก็พบว่าแย่แล้ว!เชื้อโรคแพร่เข้าไปกินกระดูกอย่างรุนแรง เชื้อโรคนั้นกำลังกลายเป็นมะเร็ง จะต้องผ่าตัดฝ่ามือฝ่าเท้าออกให้หมดก่อนที่จะลุกลามขึ้นไปอีกบุญมาต้องนอนรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลถึงยี่สิบกว่าวันด้วยสภาพของผู้ป่วยด้วน วันหนึ่งลูกชายของญาติอุปสมบทบุญมาไปช่วยงาน คืนนั้นผู้ร่วมงานบวชนอนค้างที่วัดกันสี่ห้าสิบคนเคราะห์หามยามร้ายของบุญมายังไม่จบสิ้นหนูตัวหนึ่งเจาะจงมา กัดตรงขาด้วนของบุญมาคนเดียว กัดแล้วก็หนีไป บุญมาสะดุ้งตื่นด้วยความเจ็บปวดคนที่นอนอยู่ด้วยกันตกใจกับเสียงร้องพากันตื่นหมด แผลที่หนูกัดไม่กว้างไม่ลึกนักมีเลือดซึมออกมาแต่ทุกคนพากันตกใจที่อยู่ดีๆ ทำไมจึงมีหนูมากัดคนนอนหลับเพราะหนูจะกัดกินก็เฉพาะศพเท่านั้น ไม่กัดกินคนเป็นๆบุญมาขวัญเสียถูกเคราะห์กรรมซ้ำเติมจนคิดว่าตนคงจะต้องตายในไม่ช้า มันทารุณจิตใจมากไม่นานต่อมาเกิดอาการเจ็บคันบริเวณแผลเก่าที่มือที่เท้าอีก บุญมารีบมาหาหมอที่โรงพยาบาลโดยเร็ว ผลการฉายเอกซเรย์ปรากฏว่าเชื้อมะเร็งกินลึกเข้าไปมาก หมอจำเป็นต้องจัดการตัดแขนขาทั้งท่อนของบุญมาทิ้งไป หมอน้องชายซึ่งเป็นเจ้าของคนไข้แปลกใจในชะตากรรมของบุญมานัก จึงสอบถามประวัติอย่างละเอียดอีกครั้งไว้และได้ความว่า บุญมาชายอายุยี่สิบสามปี อาชีพเกษตรกรรมและรับจ้างก่อสร้าง ชอบดื่มเหล้าเป็นประจำชอบแกล้มเหล้าด้วยปลาน้ำจืดโดยเฉพาะชอบกินเต่ากินตะพาบ บุญมาเคยได้ยินมาว่าใครกินตะพาบน้ำได้สิบถึงยี่สิบตัวแล้ว ตลอดชีวิตจะไม่เป็นโรคไขข้ออักเสบอีกทั้งยังช่วยบำรุงไต บุญมาจึงเพียรหาตะพาบน้ำมาผัดเผ็ดแกล้มเหล้าขาว บุญมากินตะพาบน้ำมาแล้วเกือบยี่สิบปี นับไม่ได้แล้วว่ากินเข้าไปได้กี่ตัว วันหนึ่งบุญมาซื้อตะพาบน้ำตัวใหญ่จากตลาดมา ตะพาบน้ำตัวนี้น้ำหนักตั้งสิบกว่ากิโลกรัมเขาดีใจมาก ตัวใหญ่ขนาดนี้ฆ่ากินทีเดียวไม่หมดจะต้องค่อยๆกิน ที่บ้านไม่มีตู้เย็นให้แช่เก็บได้จึงต้องกินผ่อนทีละน้อย ตะพาบน้ำเป็นสัตว์อายุยืนอดทนไม่ตายง่ายๆ ไม่ว่าจะถูกกักขังอยู่ในสภาพใดก็อดทนมีชีวิตอยู่ได้เป็นปี บุญมาเห็นแก่กินไม่นึกถึงว่าตะพาบจะต้องทนทุกข์ทรมานนานเพียงไร ต้องเจ็บปวดแสนสาหัสครั้งแล้วครั้งอีก เขาตัดเฉือนเนื้อตะพาบส่วนต่างๆ ตามความพอใจมาปรุงอาหารทีละชิ้นๆ บาดแผลรอบตัวตะพาบเขาทาด้วยปูนแดงที่กินกับหมากเพื่อไม่ให้เนื้อตัวตะพาบเน่า ตะพาบตัวนั้นต้องทนทุกข์ทรมานอยู่นานกว่าครึ่งเดือน จากนั้นบุญมาจึงประหารเอามากินเป็นมื้อสุดท้าย บุญมาพอใจกับวิธีที่จะได้กินเนื้อตะพาบสดๆ ทุกวันอย่างนี้เรื่อยมา

ผลสรุปประวัติผู้ป่วยที่โรงพยาบาลบันทึกไว้ในตอนท้ายมีอยู่ประโยคหนึ่งว่า …..
เป็นประวัติที่แสดงให้เห็นกรรมตามสนองอย่างไม่น่าเชื่อที่ไม่มีข้อสรุปชัดเจน ในทางวิทยาศาสตร์การแพทย์ปัจจุบัน ปล.คุณควรตระหนักถึงการกระทำที่คุณได้ทำอยู่ในทุกวันนี้ ถึงผลดีและผลร้ายที่คุณได้กระทำลงไป มันจะส่งผลกลับมาหาคุณเอง ที่เรียกกันว่า "กรรมตามสนอง" นั้นเอง ขอขอบคุณหนังสือธรรมะทุกเล่มที่ให้ความรู้แก่ผู้คนทั้งหลายเรื่องดีๆ ส่งต่อจักได้บุญ

2008-06-04

โรควุ้นลูกตาเสื่อม ( Vlireous degeneration)


เนื่องด้วยปัจจุบันได้มีร้านอินเตอร์เน็ตหรือร้านเกมส์เยอะและมีคนเล่นเกมส์และเน็ตเป็นเวลานานรวมถึงคนที่ทำงานที่ต้องอยู่หน้าคอมเป็นเวลานาน ควรพึงระวังไว้เกี่ยวกับโรคภัยที่จะตามมากับการอยู่หน้าคอมเป็นระยะเวลานานๆ
เตือนคนที่ใช้คอมพิวเตอร์บ่อย ไม่ว่าจะใช้เล่นเกมส์ หรือใช้ว่าทำงานลองอ่านดูนะ แล้วก็ดูแลตัวเองด้วย ตอนนี้ในประเทศไทยมีคนเป็นโรค "วุ้นในลูกตาเสื่อม" ถึง 14 ล้านคนแล้วครับจากข้อมูลทางหนังสือพิมพ์ ?? นี่เฉพาะแค่ที่มีข้อมูลบันทึกไว้นะครับ คนที่ไม่รู้ตัวเองว่าตัวเองก็เป็นจะมากขนาดไหน

- ผมคิดว่า ในขณะที่คุณอ่านข้อความของผมนี้จากทางเนตบางคนก็เป็นแต่ไม่รู้ตัวครับ
อาการก็คือ : คุณจะเห็นเป็นคราบดำๆ เหมือนยักใย่ ลอยไปลอยมา เหมือนคราบที่ติดกระจกน่ะครับ จะเห็นชัดก็ต่อเมื่อ คุณมองไปยังภาพแบล็คกราวนด์ที่มีสีสว่าง เช่น ท้องฟ้าขาวๆ ฝาห้องขาวๆ ฝาห้องน้ำขาวๆ จะเห็นเป็นคราบดำๆ ลอยไปลอยมา ถ้าอาการมากกว่านั้นก้อคือ ประสาทตาฉีกขาด คุณจะมองเห็นแสงแฟลชในที่มืด ไม่ว่าหลับตาหรือลืมตา (น่ากลัวมากๆ) และถึงขั้นนี้จะต้องผ่าตัด (ซึ่งไม่มีอะไรรับประกันว่าจะดีเหมือนเดิม จะตาบอดหรือไม่ ?)

สาเหตุของโรคนี้คือ : การใช้สายตามากเกินไป (เล่นคอม)
แต่ก่อนโรคนี้จะเกิดกับผู้สูงอายุ หรือ คนที่มีอาชีพใช้สายตามากๆ เช่น ช่างเจียรไนเพชรพลอย ที่ต้องใช้สายตาเพ่งมากๆ แต่เดี๋ยวนี้คนเป็นโรควุ้นในลูกตาเสื่อมกันมากเพราะ เล่นเนต หรือ เล่นคอม
คุณฟังไม่ผิดหรอกครับ เดี๋ยวนี้คนเป็นโรคนี้กันมากเพราะเล่นคอมนี่แหละ ถามว่าทำไม คนเล่นเนต เล่นคอม ถึงเป็นกันมาก ? ไม่ว่าคุณจะเล่นเนต , เล่นเกมส์ , อ่านไดอารี่ , อ่านบทความ , อ่านหนังสือ หรืออะไรก็ตาม ที่อยู่บนจอคอมพิวเตอร์ ล้วนทำให้สายตาคุณเสียได้ทั้งสิ้น เพราะว่า ถ้าคุณอ่านหนังสือที่เป็นแผ่นกระดาษธรรมดาๆ ระยะห่างระหว่าง ลูกตา กับ ตัวหนังสือ จะคงที่แน่นอน เพราะขอบของตัวหนังสือจะคมชัด ทำให้สมองกะระยะโฟกัสได้ถูกต้องแน่นอน กล้ามเนื้อและประสาทตา จึงทำงานค่อนข้างคงที่

แต่ ! ตัวหนังสือบนจอคอมพิวเตอร์นั้น มีลักษณะเป็นจุดๆ ประกอบกัน เหมือนแขวนลอยบนจอ ขอบของตัวหนังสือไม่ชัด สมองจะสับสนในการปรับระยะโฟกัส (เพราะจอแก้ว จะมีความหนาของแก้ว แต่เรามองผ่านมันไป และจอ LCD เราก้อต้องมองผ่านเข้าไปเหมือนกัน ตัวหนังสือมันไม่ได้ติดอยู่ด้านบนเหมือนอยู่บนแผ่นกระดาษ การปรับระยะโฟกัสจึงไม่แน่นอน )

บวกกับลักษณะการอ่านหน้าหนังสือในคอมนั้น จะต้องใช้เม้าส์จิ้ม ลากแถบด้านข้างจอ เพื่อเลื่อนบรรทัดหนังสือขึ้นลง เพื่อจะอ่านบรรทัดด้านล่างได้ หรือไม่ก็ใช้ลูกหมุนที่อยู่บนเม้าส์ หมุนเพื่อเลื่อนบรรทัดหนังสือ แต่การเลื่อนบรรทัดนี้ มันไม่เหมือนกับการอ่านหนังสือจากแผ่นกระดาษที่แขนกับคอ จะปรับการมองขึ้นลงโดยอัตโนมัติ มีระยะที่แน่นอน สัมพันธ์กัน

แต่ว่าการเลื่อนบรรทัดด้วยแถบด้านข้างหรือลูกกลิ้งบนเม้าส์นั้น มันจะมีลักษณะการเลื่อนแบบกระตุกๆ (คุณสังเกตุดู) มันจึงทำให้ปวดตามากๆ เพราะลูกตาจะต้องลากลูกตา เลื่อนตามบรรทัดที่กระตุกๆ นั้นไปตลอด บวกกับ การพิมพ์ตัวหนังสือนั้นบางที คุณต้องก้มเพื่อมองนิ้วว่ากดตำแหน่งบนแป้มพิมพ์ถูกตัวอักษรหรือไม่ ทำให้เดี๋ยวก้ม เดี๋ยวเงย ลูกตาปรับโฟกัสบ่อยเกิน ทำให้ลูกตาทำงานหนัก กว่าจะพิมพ์งานเสร็จคุณจะปวดตามากๆ


อย่างเด็กนักศึกษา เร่งพิมพ์รายงานส่งอาจารย์ ติดต่อกันข้ามคืน สองสามวัน ตาจะปวดมากๆ รวมทั้งเวลาการเปิดโปรแกรม word ในการพิมพ์ตัวหนังสือมักจะมีสีพื้นที่เป็นสีสว่าง (ที่นิยมก็คือ ตัวหนังสือดำ พื้นสีขาว ) สีพื้นที่สว่างขาวจ้า นี่เอง ทำให้ตาคุณจะเกิดอาการแพ้แสง ถ้ามีการพิมพ์ติดต่อกันนานๆ เพราะจ้องจอสีขาวนานเกินไป หรือไม่ก็ในคนที่ชอบเล่นเกมส์บ่อยๆ มักจะมีการปรับแสงสว่างให้จ้าที่สุด

เพราะเวลาเล่นเกมส์ ภาพพื้นหลังของเกมส์มักจะมืดๆ เป็นสีกำแพง เป็นสีปราสาท มันจะให้สีสวยสดดี แต่การทำแบบนี้มีข้อเสียคือ บางทีคุณหรือพี่น้องของคุณมาใช้คอมเครื่องนั้นต่อ จะทำให้บางครั้งลืมปรับความสว่างกลับมาให้มืดเหมือนเดิม จากที่แค่สว่างพอที่จะพิมพ์รายงาน กลายเป็นจ้องจอสว่างจ้าตลอดคืนไม่รู้ตัว สรุปก็คือ

1. การมองตัวหนังสือที่แขวนลอยอยู่ในจอ โฟกัสไม่แน่นอน กล้ามเนื้อลูกตาทำงานหนัก " ทำให้สายตาเสีย "
2. การเลื่อนตัวหนังสือและแถบบรรทัด ในหน้าคอม หรือ หน้าเนต มันจะเลื่อนแบบเป็นกระตุกๆ ทำให้สายตาเสีย การกระตุกๆ ของแถบบรรทัดนี่เองที่ทำให้สายตาเสีย ถ้าคุณอ่านหนังสือจากเวปมากๆ คุณจะติดนิสัยเสียอย่างนึงติดตัวไปคือ คุณจะติดนิสัย มองอะไรก็ตาม ไม่ว่าใกล้ไกล จะปรับโฟกัสมองเพ่งอยู่เสมอ ผลก็คือ กล้ามเนื้อตาทำงานหนัก คุณจะเริ่มมองของที่อยู่ไกลๆ เบลอๆ คุณจะไม่สามารถปรับโฟกัส มองของใกล้ แล้วมองไกล ได้ทันทีเหมือนเคย ( กล้ามเนื้อประสาทลูกตาจะล้า การปรับโฟกัสลูกตาเริ่มช้าลง)
3. การก้มๆ เงยๆ มองแป้นพิมพ์ และมองจอคอม กลับไปกลับมา " ทำให้สายตาเสีย "
4. การปรับจอภาพที่มีแสงสว่างจ้า มากเกินไปโดยไม่รู้ตัว " ทำให้สายตาเสีย " ข้อนี้คล้ายๆ กับการเปิดดูทีวีในห้องมืดๆ เป็นประจำ แล้วทำให้สายตาเสียน่ะเอง อย่างเดียวกัน
5. การใช้จอคอม ที่มีความกว้างมากเกิน จอคอมกว้างๆ นั้น เหมาะสำหรับการดูภาพดูหนัง แต่ไม่เหมาะกับการดูตัวหนังสือ เพราะว่า สายตาคนเรานั้นมีระยะการมองตัวอักษรที่ 1 ฟุต ( 12 นิ้ว) แต่จอคอมสมัยใหม่ กลับมีความกว้าง 17 นิ้ว 19 นิ้ว หรือมากกว่านั้น ซึ่งมันกว้างเกินระยะกวาดสายตามอง จากขอบหนึ่งไปสู่อีกขอบหนึ่ง ( ทำให้ปวดทั้งคอ ทั้งลูกตา) แค่คุณนั่งอ่านหนังสือบนจอกว้างแบบนี้หนึ่งชั่วโมง ลูกตาคุณจะทำงานปรับโฟกัส กลับไปกลับมาเป็นพันๆ ครั้ง และถ้าเป็นปี หรือ หลายปี ติดต่อกัน สายตาคุณเสียแน่นอน เพราะฉะนั้น ถ้าคุณจะอ่านหนังสือจากจอคอมขนาดของจอคอมของคุณต้องไม่เกิน 15 นิ้ว

ถามกลับไปว่า ทำไม กระดาษเอกสารที่ใช้ในการอ่าน การเขียนทั่วไป จึงมีขนาด A4 ? ( คำตอบ ก็คือ ความกว้างของกระดาษ A4 ไม่กว้างเกินไป กำลังพอดี ในการกวาดสายตามอง ยังไงล่ะครับ)

และเป็นคำตอบเดียวกับที่ว่า ทำไมขนาดของจอคอมคุณที่จะเอามาอ่านหนังสือ ไม่ควรเกิน 15 นิ้ว นั่นเอง ส่วนมากคนทั่วไป มักจะคิดไม่ถึงว่า การเล่นคอมทุกวัน ง่ายๆ นั้น จะเป็นสาเหตุ ที่สามารถทำให้ตาบอดได้ ถ้าเกิดรุนแรง เพราะกว่าจะรู้ตัวไปหาหมอ หมอก็อาจจะบอกว่าคุณไม่สามารถรักษาหายได้แล้ว และต้องรักษาด้วยการผ่าตัดเท่านั้น!!!

ผมจึงอยากจะฝากประโยคเอาไว้ให้คนที่เล่นคอมทุกคนว่า คอมพิวเตอร์นั้น มีไว้สำหรับการค้นหาข้อมูล ไม่ได้มีไว้สำหรับการอ่านเป็นประจำ โดยเฉพาะการอ่าน อะไรก็ตามที่ยาวๆ เป็นประจำ ไม่ว่าจะเป็นไดอารี่ หนังสือบนเนต คุณเสี่ยงทั้งนั้น เพราะฉะนั้น เราควรจะกลับมาอ่านหนังสือกระดาษกันเหมือนเดิม ลืมเรื่องเล่นเนต เล่นคอมซะ เพื่อสุขภาพตา

ปกติที่เห็นใยแมงมุมดำๆ (เรียกว่า Floaters) เป็นผลจากการเสื่อมสลายของวุ้นในลูกตาจนเกิดเป็นตะกอนข้างใน ไม่ได้เป็นอันตรายครับ เมื่อเวลาผ่านไปตะกอนจะค่อยๆ ลอยออกจากลานสายตาไปอยู่บริเวณขอบๆ มากขึ้นจนเราจะไม่สังเกตเห็นมันไปเอง แต่คนที่เริ่มมีอาการเห็นแสงกระพริบ ( Flashing) นั้นน่าสงสัยว่าอาจมีจอประสาทตาลอก ( Retinal detachment) หรือวุ้นลูกตาลอก ( Posterior vitreous detachment)

คนที่เพิ่งจะเริ่มสังเกตเห็นอาการนี้เป็นครั้งแรก แนะนำให้ไปพบจักษุแพทย์ครับ เพื่อตรวจดูว่าเริ่มมีจอประสาทตาลอก/วุ้นลูกตาลอกแล้วหรือยัง ถ้าแพทย์บอกว่ายังไม่มี เป็นแค่วุ้นลูกตาเสื่อมธรรมดา ก็สบายใจได้ แต่ไม่ใช่สบายจนลืมระวังตัวนะครับ ต้องคอยสังเกตตัวเองด้วยว่าถ้าเห็น Flashing กับ Floater ปริมาณมากกว่าเดิมแบบเฉียบพลัน ควรกลับไปพบแพทย์อีกครั้งครับ

ในคนปกติจะมีการเสื่อมสลายของวุ้นลูกตาอย่างช้าๆ อยู่ตลอดเวลาครับ แต่จะมีอาการเร็วหรือช้าก็ขึ้นกับปัจจัยเสี่ยงของแต่ละคนอีก
- คนที่มีสายตาสั้นมากๆ
- เคยมีประวัติกระทบกระเทือนลูกตาอย่างรุนแรง
- เคยมีการอักเสบหรือติดเชื้อภายในลูกตา
- เคยได้รับการผ่าตัดต้อกระจก
- คนที่มีวุ้นลูกตาลอกหรือจอประสาทตาลอกมาแล้วข้างหนึ่ง
- คนที่มีประวัติคนในครอบครัวเป็นโรควุ้นลูกตาเสื่อมหรือจอประสาทตาลอก

คนเหล่านี้ก็จะมีโอกาสเสี่ยงที่จะเกิดการเสื่อมสลายของวุ้นลูกตาได้เร็วกว่าคนทั่วไป

การป้องกัน

จากที่ได้อ่านที่ดอสโพสไว้ การใช้สายตาให้น้อยลงก็อาจเป็นหนทางหนึ่งที่ป้องกันการเกิดได้นะ แต่ว่าในบทความของต่างประเทศส่วนใหญ่จะไม่ได้กล่าวถึงส่วนนี้ การป้องกันที่ดีที่สุดคือ การรู้จักอาการของโรค และระวังตัวเองอยู่เสมอ เมื่อเริ่มสังเกตเห็น Flashing หรือ Floaters ก็ควรพบจักษุแพทย์ทันทีเพื่อตรวจให้แน่ใจว่าไม่มีจอประสาทตาหรือวุ้นลูกตาลอกเกิดขึ้น เป็นการป้องกันไม่ให้โรคดำเนินไปถึงจุดที่อันตรายนั่นเอง

การเห็น Floater ถือเป็นความผิดปกติ นะครับ แต่การที่เพิ่งมองเห็นเป็นครั้งแรก ปริมาณไม่มากนัก และได้พบจักษุแพทย์เพื่อยืนยันแล้วว่าไม่มีการเกิดจอประสาทตาหรือวุ้นลูกตาลอก เป็นเพียงแค่วุ้นลูกตาเสื่อม นี่คือไม่อันตรายครับ

แต่ถ้าเห็น Floater หรือ Flashing ปริมาณมากขึ้นกว่าเดิม อันนี้ต้องเริ่มสงสัยครับว่าโรคได้ดำเนินต่อไปถึงขั้นที่มีการลอกแล้วหรือเปล่า ถ้าปล่อยไว้นานโดยไม่ใส่ใจถึงปริมาณที่เพิ่มขึ้นอยู่ อาจเป็นอันตรายได้ ซึ่งต้องรีบพบจักษุแพทย์เพื่อตรวจครับ

การป้องกันปัญหาสุขภาพจากการใช้คอมพิวเตอร์

จากการที่เราๆ ท่านๆ ต้องทำงานเกี่ยวกับเครื่องคอมพิวเตอร์เวลานานๆ แน่นอนย่อมมีผลเสียกับสุขภาพ ซึ่งมักจะมีอาการปวดตาและเมื่อยล้าของนัยน์ตาก็คงจะเคยเกิดกับผู้ที่ทำงานหรือใช้งานคอมพิวเตอร์ ซึ่งจักษุแพทย์ได้พบว่ามีหลายๆ สาเหตุที่ทำให้นัยน์ตาต้องเสี่ยงภัยจากเครื่องคอมพิวเตอร์ เป็นผลทำให้เกิดอาการปวดตา ฉะนั้นจึงขอแนะนำการป้องกันปัญหาสุขภาพจากการใช้คอมพิวเตอร์ ดังนี้
1. นั่งในท่าที่เหมาะสม และห่างจากจอคอมพิวเตอร์ประมาณ 20-30 นิ้ว
2. จอคอมพิวเตอร์ให้อยู่ต่ำกว่าระดับสายตาประมาณ 20-26 องศา
3. จัดเอกสารที่ต้องใช้ดูประกอบไว้ใกล้กับจอเครื่องคอมพิวเตอร์จะได้ลดการส่ายศีรษะไปมามาก และลดการเปลี่ยนระยะการดูของสายตาในระยะที่ต่างกันมาก
4. จัดแสง และแสงสะท้อนจากจอให้ลดลงในระดับที่ตาเรารู้สึกสบาย
5. อย่าให้มีฝุ่นเกาะจอคอมพิวเตอร์ ควรทำความสะอาดเสมอ
6. พักสายตา พักอิริยาบถทุกๆ 20 นาที เพื่อป้องกันตาเมื่อย
7. กะพริบตาบ้าง ถ้ารู้สึกแสบตา หรือใช้น้ำตาเทียมหยดเป็นครั้งคราว
8. จอภาพคอมพิวเตอร์ต้องโฟกัสชัดเจน ตัวหนังสือภาพในจอให้ปรับให้ชัดเสมอ
9. ผู้ที่มีอายุเกิน 40 ปี และจำเป็นต้องใช้แว่นอ่านหนังสือ ควรใช้แว่นอ่านหนังสือที่เหมาะสม และไม่ควรใช้แว่น 2 ชั้น หรือแว่นไม่มีชั้น เพราะจะทำให้ต้องเงยหน้าอ่านข้อความในจอตลอด ซึ่งจะเป็นสาเหตุให้ปวดต้นคอเพิ่มขึ้น

การทำงานกับเครื่องคอมพิวเตอร์ล้วนแล้วแต่ส่งผลเสียหายให้กับดวงตาของเรา ฉะนั้นนัยน์ตาของคนเรานับว่ามีค่ายิ่งควรแก่การทนุถนอมไว้ โดยการหลีกเลี่ยงต้นเหตุ และป้องกันปัญหาสุขภาพไว้ ในระหว่างทำงานอยู่กับหน้าจอคอมพิวเตอร์หรือวิธีการอื่นๆ เพื่อช่วยให้ดวงตาอยู่กับเราตราบนานเท่านานตลอดไป


ต่อไปเป็นท่าการบริหารสำหรับคนที่ใช้คอมพิวเตอร์เป็นเวลานาน

2008-05-30

.: ร่วมทำความดี ถวายเป็นพระราชกุศล แด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ :.



1. ความเพียร
การสร้างสรรค์ตนเอง การสร้างบ้านเมืองก็ตาม มิใช่ว่าสร้างในวันเดียว ต้องใช้เวลา ต้องใช้ความเพียร ต้องใช้ความอดทน เสียสละ แต่สำคัญที่สุดคือความอดทนคือไม่ย่อท้อ ไม่ย่อท้อในสิ่งที่ดีงาม สิ่งที่ดีงามนั้นทำมันน่าเบื่อ บางทีเหมือนว่าไม่ได้ผล ไม่ดัง คือดูมันควรทำดีนี่ แต่ขอรับรองว่าการทำให้ดีควรต้องมีความอดทน เวลาข้างหน้าจะเห็นผลแน่นอนในความอดทนของตนเอง
พระบรมราโชวาท พระราชทานแก่นักเรียน นักศึกษา ครู และอาจารย์ในโอกาสเข้าเฝ้าฯวันที่27 ตุลาคม 2516

2. ความพอดี
ในการสร้างตัวสร้างฐานะนั้นจะต้องถือหลักค่อยเป็นค่อยไป ด้วยความรอบคอบ ระมัดระวังและความพอเหมาะพอดี ไม่ทำเกินฐานะและกำลัง หรือทำด้วยความเร่งรีบ เมื่อมีพื้นฐานแน่นหนารองรับพร้อมแล้ว จึงค่อยสร้างค่อยเสริมความเจริญก้าวหน้าในระดับสูงขึ้น ตามต่อกันไปเป็นลำดับผลที่เกิดขึ้นจึงจะแน่นอน มีหลักเกณฑ์ เป็นประโยชน์แท้และยั่งยืน
พระบรมราโชวาท ในพิธีพระราชทานปริญญาบัตรของมหาวิทยาลัยขอนแก่น วันที่ 18 ธันวาคม 2540

3. ความรู้ตน
เด็กๆ ทำอะไรต้องหัดให้รู้ตัว การรู้ตัวอยู่เสมอจะทำให้เป็นคนมีระเบียบและคนที่มีระเบียบดีแล้ว จะสามารถเล่าเรียนและทำการงานต่างๆ ได้โดยถูกต้องรวดเร็ว จะเป็นคนที่จะสร้างความสำเร็จและความเจริญ ให้แก่ตนเองและส่วนรวมในอนาคตได้อย่างแน่นอน
พระบรมราโชวาท พระราชทานลงพิมพ์ในหนังสือ วันเด็ก ประจำปี 2521

4. คนเราจะต้องรับและจะต้องให้
คนเราจะเอาแต่ได้ไม่ได้ คนเราจะต้องรับและจะต้องให้ หมายความว่าต่อไป และเดี๋ยวนี้ด้วยเมื่อรับสิ่งของใดมา ก็จะต้องพยายามให้ ในการให้นั้น ให้ได้โดยพยายามที่จะสร้างความสามัคคีให้หมู่คณะและในชาติ ทำให้หมู่คณะและชาติประชาชนทั้งหลายมีความไว้ใจซึ่งกันและกันได้ ช่วยที่ไหนได้ก็ช่วย ด้วยจิตใจที่เผื่อแผ่โดยแท้
พระบรมราโชวาท พระราชทานแก่นักศึกษามหาวิทยาลัยขอนแก่น วันที่ 20 เมษายน 2521

5. อ่อนโยน แต่ไม่อ่อนแอ
ในวงสังคมนั้นเล่า ท่านจะต้องรักษามารยาทอันดีงามสำหรับสุภาพชน รู้จักสัมมาคารวะ ไม่แข็งกระด้าง มีความอ่อนโยนแต่ไม่อ่อนแอ พร้อมจะเสียสละประโยชน์ส่วนตัวเพื่อส่วนรวม
พระบรมราโชวาท ในพิธีพระราชทานปริญญาบัตรของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย วันที่ 25 มิถุนายน 2496

6. พูดจริง ทำจริง
ผู้หนักแน่นในสัจจะพูดอย่างไร ทำอย่างนั้น จึงได้รับความสำเร็จ พร้อมทั้งความศรัทธาเชื่อถือและความยกย่องสรรเสริญ จากคนทุกฝ่าย การพูดแล้วทำ คือ พูดจริง ทำจริง จึงเป็นปัจ จัยสำคัญในการส่งเสริมเกียรติคุณของบุคคลให้เด่นชัด และสร้างเสริมความดี ความเจริญ ให้เกิดขึ้นทั้งแก่บุคคลและส่วนรวม
พระบรมราโชวาท ในพิธีพระราชทานปริญญาบัตรของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย วันที่ 10 กรกฎาคม 2540

7. หนังสือเป็นออมสิน
หนังสือเป็นการสะสมความรู้และทุกสิ่งทุกอย่างที่มนุษย์ได้สร้างมา ทำมา คิดมา แต่โบราณกาลจนทุกวันนี้ หนังสือจึงเป็นสิ่งสำคัญ เป็นคล้ายๆ ธนาคารความรู้และเป็นออมสิน เป็นสิ่งที่จะทำให้ มนุษย์ก้าวหน้าได้โดยแท้
พระบรมราโชวาท พระราชทานแก่คณะสมาชิกห้องสมุดทั่วประเทศ ในโอกาสที่เข้าเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาท วันที่ 25 พฤศจิกายน 2514

8. ความซื่อสัตย์
ความซื่อสัตย์สุจริตเป็นพื้นฐานของความดีทุกอย่าง เด็กๆ จึงต้องฝึกฝนอบรมให้เกิดมีขึ้นในตนเอง เพื่อจักได้เติบโตขึ้นเป็นคนดีมีประโยชน์ และมีชีวิตที่สะอาด ที่เจริญมั่นคง
พระบรมราโชวาท พระราชทานเพื่อเชิญลงพิมพ์ในหนังสือวันเด็ก ปี พุทธศักราช 2531

9. การเอาชนะใจตน
ในการดำเนินชีวิตของเรา เราต้องข่มใจไม่กระทำสิ่งใดๆ ที่เรารู้สึกด้วยใจจริงว่าชั่วว่าเสื่อม เราต้องฝืนต้องต้านความคิดและความประพฤติทุกอย่างที่รู้สึกว่าขัดกับธรรมะ เราต้องกล้าและบากบั่นที่จะกระทำสิ่งที่เราทราบว่าเป็นความดี เป็นความถูกต้อง และเป็นธรรม ถ้าเราร่วมกันทำเช่นนี้ ให้ได้จริงๆ ให้ผลของความดีบังเกิดมากขึ้น

๏~* ในหลวงทรงร้องไห้ *~๏

เมื่อไม่นานมานี้ ที่ผ่านมาผมได้ไปงานที่โรงเรียน เหมือนเช่นทุกปีตอนกลับเดิ นมาตามตึกยาวเพื่อจะกลับมาทางประตูด้าน เพาะช่าง ยังไม่ถึงบริเวณเศาลหลวงพ่อปู่ พบอาจาร์ยท่านหนึ่งนั่งอยู่ จำได้ว่าเป็นอาจารย์สุธี ท่านเกษียณไปแล้ว ไม่รู้คุณรู้จักรึเปล่า กราบอาจารย์ท่านแล้ว สังเกตุเห็นว่าอาจารย์ร้องไห้อยู่ ท่านบอก เพิ่งได้พบกับรุ่นพี่ที่มาในงาน รุ่นที่เท่าไหรก้อไม่ได้ถาม เป็นนายทหารราชองครักษ์ชั้นผู้ใหญ่ เค้าเล่าให้อาจารย์ฟังว่า

****ในหลวงทรงร้องให้เห็นบ่อย**** 'ทรงเสียใจที่เมืองไทยจะสิ้นในรัชกาลของท่าน แล้วกระนั้นหรือ' ผมอยากจะตอบอาจารย์ไปว่าคงไม่หรอก ถ้าคนไทย รู้จำคำว่าว่า'หน้าที่'มากกว่า'สิทธิ' เราเคยชินกับการเป็น..ผู้รับ...จากคนคนหนึ่งที่เกิดมาเป็น..ผู้ให้...ให้มาตลอด เคยชินจนลืมไปว่าวันนี้ถึงเวลาแล้วรึยังที่ เราควรจะผู้ให้แก่พระองค์ท่านบ้าง... ผมลาอาจารย์เรียบร้อยร้อย กลับไปตามตึกยาว ไปไหว้ พระผู้ให้กำเนิดโรงเรียน อธิฐาษขอให้พระองค์ท่านช่วยคุ้มครองให้หลานท่านทรงมีแต่ความสุข..ทรงมีพระพลานามัยที่แข็งแรง...เพียงแค่ไม่อยากไ้ยินว่า ..ในหลวงทรงร้องไห้ ความสุขของพระมหากษัตริย์ หนึ่งปีที่ผ่านมาเราใส่เสื้อเหลืองเราใส่สายรัดข้อมือสีเหลืองคนนับแสนไปนั่งรอเป็นชั่วโมงๆ หน้าพระที่นั่งอนันตสมาคมเพื่อจะได้เห็นพระพักตร์ของพระบาทพระเจ้าอยู่หัวเพียงไม่กี่นาทีวันนั้น ในขณะที่ทั้งโลกเริ่มเสื่อมศรัทธาในระบบการปกครองโดยมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขเราได้ แสดงให้โลกได้เห็นว่ามีประเทศเล็กๆ ประเทศหนึ่งที่คนทั้งชาติยังซื่อสัตย์จงรักภักดีต่อราชวงศ์ จักรี และ พระมหากษัตริย์อันทรงเป็นที่รักยิ่งของคนไทย

.....สิบสองปีที่ผ่านมาพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงพระประชวรหนักด้วยโรคหัวใจเพราะทรงงานหนักเกินไปในขณะเดียวกัน สมเด็จพระราชชนนีก็ทรงพระประชวรหนักอยู่ ณ โรงพยาบาลศิริราชเช่นกัน เรายังจำรูปในหนังสือพิมพ์ที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จพระราชดำเนินไปทรงเยี่ยมพระราชชนนีไม่กี่วันหลังจากการผ่าตัดใหญ่ถวาย พระหัตถ์ข้างหนึ่งกุมอยู่ที่พระอุระ และในพระหัตถ์อีกข้างหนึ่งทรงถือ ม้วนแผนที่กรุงเทพฯ เพระน้ำกำลังท่วมกรุงอยู่ ยังจำกันได้ไหม?

..... 34 ปีที่ผ่านมา วันที่ 14 ตุลาคม พ.ศ.2516 เป็นครั้งแรกในรัชกาลที่เกิดวิกฤติด้านการเมืองรุนแรงที่สุด วันนั้น นิสิตนักศึกษาและประชาชนนับหมื่นนับแสนเดินขบวนประท้วงรัฐบาล เหตุการณ์ร้ายแรงยิ่งขึ้นตำรวจทหารยิงประชาชน ในขณะที่นิสิตนักศึกษาก็เผาสถานที่ราชการ เกิดกลียุคทุกหย่อมหญ้า 'คนไทยฆ่าคนไทยด้วยกันเอง' คืนนั้น สถานีโทรทัศน์ทุกช่องถ่ายทอดสดจากพระราชวังสวนจิตรลดา พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงมีพระราชดำรัสกันคนไทยทุกคนว่า “คนไทยจะฆ่าคนไทยด้วยกันไม่ได้ ทุกอย่างต้องสงบโดยฉับพลัน” และทุกอย่างก็สงบโดยฉับพลัน หลังจากนั้นไม่นาน มีฝรั่งคนหนึ่งมาถามผมว่า “เป็นไปได้อย่างไร ที่คนๆ เดียวจะมีอำนาจเหนือคนทั้งประเทศได้อย่างนั้น?” ผมไม่ได้ตอบ แต่ตอนนั้นใจผมคิดถึงประโยคที่ มรว. คึกฤทธิ์ ปราโมชฯ ได้ให้สัมภาษณ์กับสถานีโทรทัศน์ BBC ว่า พระองค์ทรงเป็น 'SOUL OF THE NATION' หรือ“จิตวิญญาณของคนไทยทั้งชาติ” ยังจำกันได้ไหม?

แล้ววันนี้เรากำลังทำอะไรกันอยู่ เราสร้งค่านิยมผิดๆ ว่าคนที่ประสบความสำเร็จคือคนที่มีเงินมากที่สุด เราโกงทุกครั้งที่มีโอกาส
เราเรียกร้องประชาธิปไตยโดยคิดถึงแต่ “สิทธิ” แต่ลืมคำว่า “หน้าที่” เรากำลังฆ่ากันเองทุกวันในภาคใต้ เราสร้าง “กฎหมู่” ให้เหนือ “กฎหมาย” เราเดินขบวนประท้วงในทุกอย่างที่เราไม่เห็นด้วย เราก้าวร้าวต่อกัน เราแตกแยกกัน และทั้งโลกกำลังจับตามองเราอยู่ เราเคยหยุดคิดกันบ้างไหมว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวของเรา จะทรงเสียพระทัยเพียงใด? แล้วสิ่งที่เราทำไปในวันเฉลิมพระชนมพรรษาคืออะไร การที่เราใส่เสื้อเหลือง สายรัดข้อมือ ที่ว่า Long life The King เราทำเพื่ออะไร มันเป็นแค่ผักชีโรยหน้าที่จะแสดงให้โลกเห็นว่าคุณรักพระมหากษัตริย์เพียงใดเท่านั้นนะเหรอ 80 ชันษาของพระองค์ท่าน หากเปรียบกับคนธรรมดาก็สมควรที่จะได้พักเต็มที่ได้รับการดูแลและระมัดระวังเป็นพิเศษ ไม่สมควรที่จะตรากตรำทำงานหนัก แต่กลับเป็นว่า ในปีที่ครบ 80 ชันษาของพระองค์ท่านยังต้องทรงงานอยู่ตลอดเวลา ทั้งๆ ที่ทรงต้องอยู่ภายใต้การถวายการดูแลของคณะแพทย์ พระองค์ต้องรับทุกข์ของคนไทยทั้งชาติ ความสุขของพระมหากษัตริย์พระองค์นี้ ไม่ใช่จะประทับอยู่ในพระราชวังใหญ่โตสวยงาม แห่ล้อม ด้วยข้าราชบริพาร หากแต่ความสุขของพระมหากษัตริย์พระองค์นี้คือ เมื่อประชาชนของพระองค์ท่านรักสามัคคีกัน รู้จักความ พอเพียง และมีสติ-เพียงเท่านี้เอง

แล้ววันนี้เรากำลังทำอะไรกันอยู่? หรือนี่คือการแสดงความกตเวทีต่อพระมหากษัตริย์ของ ถ้ารักในหลวงรักประเทศของเราก็ส่งต่อไปให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ถึงเวลาที่ต้องตอบแทนคุณแผนดิน ตอบแทนพระคุณพ่อแล้ว

2008-05-28

๏~* เคล็ดลับในการปักธูป และอานุภาพที่ได้ *~๏


เป็นความเชื่อส่วนบุคคล กรุณาใช้วิจารณญานในการอ่าน

ทุกท่านที่มีจิตใจน้อมนำในการปฎิบัติบูชา ย่อมเกิดอานิสงฆ์ของทางด้านจิตใจย่อมทำให้สงบลง ฟุ่งซ่านอะไรมาเวลาเราสวดมนต์ไหว้พระขอพรจะทำให้จิตใจเราที่กำลังร้อนรุ่มกลุ้มใจอะไรอยู่ย่อมสงบลงได้ไม่มากก็ น้อยขึ้นแต่ละบุคคลไปว่าทำได้มากน้อยแค่ไหนจึงมีกลบายวิธีที่จะทำให้เราจิตใจสงบ ท่านไม่ต้องเชื่อแต่ลองปฎิบัติดูว่าจิตใจเราจะสงบและเย็นลงไหมนั้นย่อมขึ้นกับบุญบารมีที่สะสมมาแต่ชาติไหน

สังเกตุไหมว่า บางคนบุญทานไม่เท่ากัน บางคนก็รวย บางคนก็จน บางคนก็กลาง ๆ พอกินพอใช้ไปเรือยๆ อันนี้ส่งผลของบุญและทานแต่ชาติปางก่อนหรือชาติปัจจุบันก็ว่าได้ ฉะนั้นคนที่รวยมาก ๆ ก็เป็นอานิสงฆ์ของบุญเก่าที่เขาสะสมมามาก

แต่ที่นี้ก็ไม่ได้หมายความว่า เวลาทำบุญทำทานก็อธิษฐานให้รวยถูกหวยรวยเบอร์ดังที่ต้องการเช่นกันไม่ เพียงแต่ทำบุญเพื่อหยั่งผลประโยชน์พุทธศาสนาสืบทอดต่อไปอย่าไปหวังบุญเพื่อให้ร่ำรวยถูกหวยรวยเบอร์รางวัลใหญ่ไม่ การประกอบผลบุญก็คือ.ให้จิตเราสงบเย็น และละความทิฐิมานะในกมลสันดานที่ขี้เหนียวในจิตใจให้มีแต่ให้ รวมไปถึงทานทีเราบริจาคไปย่อมได้อานิสงฆ์ที่ก่อเกิดขึ้นให้จิตเราสงบได้โดยมหัศจรรย์

มนุษย์เราถ้าจิตสงบแล้วอะไรทุกอย่างในปัญหาความรัก,การงาน,ความวุ่นวายในสังคมก็ย่อมจะสงบตามไม่แบ่งชั้นวรรณะ รูปธรรม นามธรรมต่างๆ ให้เกิดการขัดแย้งกันขึ้นในสังคมทุกวันนี้

ฉะนั้นขอท่านทั้งหลายน้อมจิตน้อมใจในปัญหาที่เกิด ขึ้นทั้งที่ไม่ดีที่เข้ามาในดวงชะตาชีวิตของเรา ที่นำพาให้เกิดทุกข์อันใหญ่หลวงนี้ ให้สงบและระงับไปในที่สุดโดยการหมั่นสร้างบุญ และ ทาน ทานศิล ภาวนา เช่นจิตเราไม่สงบก็หาอะไรที่เป็นทางออกที่ดีให้สงบเพื่อไปเป็นยาโอสถธรรมไประงับให้สงบลงได้

ก็คือการหันมาสวดมนต์ พระพุทธคุณ พระธรรมคุณ พระสงฆ์คุณ เพื่อจิตของเราที่กำลังทุกข์อยู่ให้สงบระงับลงไปบ้าง ต้องลองปฎิบัติดู ฉะนั้นการที่จะให้ถึงจิตถึงใจและสงบระงับจริงๆ ทุกรูปทุกนามย่อมต้องมีการสัมผัสรูป รส กลิ่น เสียง ซึ่งเป็นหลักของกิเลสมนุษย์

โดยเฉพาะการจุดธูปหอมๆ เมื่อเราได้กลิ่นของธูปแล้วจิตใจบางคนก็เกิดความสดชื่นแจ่มใส่ ขึ้นก็มี บางคนก็รู้สึกโล่งสบายใจก็มี (ยกเว้นคนที่ไม่ชอบกลิ่นอะไรฉุน ๆ มีอาการแพ้) ก็มีอันนั้นก็อีกเรื่องหนึ่งของธาตุแต่ละคนไป

เมื่อจุดธูปแล้วจะปักธูปให้ปักดังนี้.. ถ้าจุดธูป 3 ดอก ก็ให้ปักที่ละดอก ดอกละ 1 ปักตรงกลางกระถางธูป แล้วอีกสองดอกปักขวามือของเราและซ้ายตามเป็นสามดอก (ไม่ใช้ปักที่เดียวกำที่เดียว)ตรงกระถางธูปเลย ไม่ใช้.. ถ้าจุดธูป 5 ดอก ก็ปฎิบัติเดียวกับ 3 ดอก ที่เหลือ 2 ดอกก็ปักด้านบนและด้านล่าง ของกระถางธูป ..ถ้าจุดธูป 9 ดอก ก็ปฎิบัติเช่นเดียวกันกับ 5 ดอก ที่เหลือก็ปักมุมแต่ละมุมให้ครบ 9 ดอกโดยวนจากขวามาหาซ้ายภายในกระถางธูป

เหตุผลและอานุภาพปักธูปตามทิศ (กระถางธูป)
1.ธูปที่ปักตรงกลางกระถางธูปก่อน เทียมเท่ากับบูชาดวงชะตาทั่วไปของตนเอง
2.ธูปที่ปักขวาตรงกระถางธูปเทียมเท่ากับป้องกันอันตรายอาถรรพณ์เพศไม่ให้เกิดกับดวงชะตาตนเอง
3.ธูปที่ปักซ้ายตรงกระถางธูปเทียมเท่ากับให้เป็นเมตตามหาเสน่ห์กับดวงชะตาทั่วไป
4.ธูปที่ปักด้านบนกระถางธูปเทียมเท่ากับบูชาทิศเหนือเพื่อเป็นศิริมงคลกับดวงชะตาตนเอง
5.ธูปที่ปักด้านล่างกระถางธูปเทียมเท่ากับบูชาทิศใต้เพื่อเป็นศิริมงคลกับดวงชะตาตนเอง
6.ธูปที่ปักด้านเฉียงกระถางธูปเทียมเท่ากับบูชาทิศตะวันออกเฉียงเหนือเพื่อเป็นศิริมงคลดวงชะตาตนเอง
7.ธูปที่ปักด้านเฉียงกระถางธูปเทียมเท่ากับบูชาทิศตะวันออกเฉียงใต้เพื่อเป็นศิริมงคลดวงชะตาตนเอง
8.ธูปที่ปักด้านเฉียงกระถางธูปเทียมเท่ากับบูชาทิศตะวันตกเฉียงใต้เพื่อเป็นศิริมงคลกับดวงชะตาตนเอง
9.ธูปที่ปักด้านเฉียงถระถางธูปเทียมเท่ากับบูชาทิศตะวันตกเฉียงเหนือเพื่อเป็นศิริมงคลกับดวงชะตาตนเอง

๏~* เจลบัวบก รักษาแผลในปาก *~๏



คณะเภสัชศาสตร์ จุฬาฯ วิจัยสกัดเป็นเจลบัวบก รักษาแผลในช่องปากได้ผลชะงัด ไม่มีแผลเป็น แนะประชาชนคั้นน้ำใบบัวบกดื่มแก้ร้อนใน เจ็บคอ พร้อมเตือนอย่าดื่มเป็นประจำ อาจมีอันตรายต่อม้าม

รศ.ชัยโย ชัยชาญทิพยุทธ ภาควิชาเภสัชเวท คณะเภสัชศาสตร์ จุฬา ลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า ได้ร่วมกับ รศ.สุชาดา ประเสริฐวิทยาการ อาจารย์คณะเดียวกัน ร่วมกันวิจัยเรื่อง "เจลบัวบกยึดติดเยื่อบุเมือกในช่องปาก" เป็นการนำสมุนไพรบัวบก มาใช้ประโยชน์ในการรักษา แผลในช่องปากอย่างได้ผล เนื่องจากใบบัวบกมีสรรพคุณช่วยรักษาแผลภายนอกร่างกายให้หายเร็วขึ้น และไม่เป็นแผลเป็น จากสรรพคุณดังกล่าวทำให้เกิดแนวคิดในการนำใบบัวบกมาใช้ในการรักษาแผลในช่องปาก

รศ.ชัยโย กล่าวว่า สารสกัดจากบัวบก ได้จากการแช่ยุ่ยใบสดในเมธานอล และแยกสารสกัด โดยวิธีลำดับส่วน จากการศึกษาได้มีการพัฒนาเจลใบบัวบกให้ยึดติดเยื่อบุเมือกในช่องปากมากขึ้น ซึ่งตามปกติแล้วยาในลักษณะเจลที่ขายอยู่ตามท้องตลาดส่วนใหญ่มีความเหนอะหนะ

ทั้งนี้ ได้มีการทดลองนำเจลบัวบกมาเปรียบเทียบกับยาหลอก และยาที่ขายในท้องตลาด ในกลุ่มอาสาสมัคร100 คน โดยให้อาสาสมัครทายา 3 ครั้ง คือ หลังอาหารเช้า, เย็น และก่อนนอน แล้ววัดขนาดของแผลเป็นมิลลิเมตร ในความแรง 0.5, 1 และ 2% ซึ่งผลการทดลองพบว่า เจลบัวบกทำให้ขนาดของแผลลดลงอย่างเห็นได้ชัด โดยยิ่ง มีสารสกัดของใบบัวบกมากขึ้น ก็จะทำให้แผลหายได้เร็วขึ้น ทำให้อาการปวดแผลหายเร็วกว่าการใช้ยาที่ขายตามท้องตลาดด้วย

รศ.ชัยโย กล่าวด้วยว่า ในอนาคตมีแนวคิดที่จะพัฒนาให้เจลใบบัวบกติดทนได้นานกว่าเดิม โดยนำไขโกโก้มาเคลือบปิดตัวยา เพื่อให้พอลิเมอร์ที่มีอยู่ในยา ไม่ถูกน้ำลายชะล้างได้ง่าย ทำให้เจลบัวบกอยู่ได้นานขึ้นถึง 5-6 ชั่วโมง มีผลทางการรักษา ทำให้แผลหายเร็วขึ้น

สำหรับประชาชนทั่วไป หากมีแผลร้อนใน เจ็บคอ หรือไม่สบายตัวช่วงอากาศเปลี่ยนแปลง สามารถนำใบบัวบกมาใช้ได้ด้วยการนำใบมาปั่น หรือตำด้วยครกคั้นน้ำมาผสมกับน้ำ ตาลทรายแดงตามชอบรับประทาน เมื่อมีอาการจะทุเลาลงได้ แต่ไม่ควรรับประทานเป็นประจำ เพราะใบบัวบกมีฤทธิ์เย็น ตามตำรายาจีนระบุว่า จะส่งผลกระทบต่อม้ามและอวัยวะภายใน ทำให้ไม่มีเรี่ยวแรง อ่อนเพลีย

2008-05-27

เกร็ดความรู้ที่ดีต่อชีวิต

เมื่อวานดูข่าวช่อง 3 มีข่าวนึงที่ทำให้ต้องหันมาตระหนักถึงบางอย่างใกล้ตัว

1. เรื่องขวดน้ำพลาสติกที่บรรจุน้ำดื่มที่ขายๆ กันตามห้างสรรพสินค้า เซเว่นอีเลฟเว่น รวมทั้งที่ไปเติมน้ำมันครบ 800 แถมน้ำ 1 ขวด อะไรทำนองนั้น ปัจจุบันเพิ่งมีคนตายเพราะการนำขวดพลาสติกดังกล่าวไปบรรจุน้ำดื่มครั้งแล้วครั้งเล่า โดยสารพิษชนิดหนึ่ง สามารถละลายออกมาปะปนกับน้ำดื่ม เนื่องจากขวดประเภทนี้ถูกออกแบบมาเพื่อใช้ครั้งเดียว อายุการใช้งานสั้น ๆ ! เท่านั้น ดังนั้นจึงไม่สมควรเสียดายนำมาบรรจุน้ำดื่มอีก รวมทั้งน้ำที่มากับขวด หากแม้ว่าเปิดกินไม่หมดแล้วเก็บไว้ในรถยนต์ ซึ่งรถดังกล่าวอาจจอดที่ๆร้อนๆ ความร้อนก็มีผลกับสารพิษที่มากับขวดได้ ดังนั้นเมื่อเปิดดื่มแล้ว ควรดื่มให้หมดภายในระยะเวลา 1 สัปดาห์ โดยเฉพาะหากเก็บขวดนั้นไว้ที่ร้อน ๆ ถ้าเก็บที่อุณหภูมิห้องจะปลอดภัยกว่า

2. ม่านพลาสติกที่แขวนในห้องน้ำเพื่อกั้นพื้นที่แห้ง กับเปียก มีข่าวแจ้งมาว่ามีนักจุลชีววิทยา คนนึงในต่างประเทศ เค้าสังเกตว่าที่ม่านพลาสติกมีคราบดำ ๆ ทีแรกเค้าคิดว่าเป็นคราบสบู่ เค้าลองขูดแล้วเอาไปส่องกล้อง ปรากฏว่าคราบดำ ๆ ดังกล่าวเป็นแบตทีเรียชนิดร้ายแรง ที่เติบโตโดยอาศัย การผายลม การเลอ การไอ จาม ของมนุษย์เรานี่แหละ เป็นอาหารอย่างดีของมัน เค้าแนะนำว่า เราควรถอดไปซัก อาทิตย์ละครั้ง หรือ เดือนละ2 ครั้งก็ได้ หรือถ้าไม่มีเวลาก็เดือนละครั้งก็ยังดี นอกจากนี้เค้าเตือนว่า อะไรที่เป็ นพลาสติกก็เข้าข่ายเหมียนกัลลลล....ล โดยเจ้าเชื้อโรคเนี่ยมันจะเข้ามาทำอันตรายเราก็ต่อเมื่อ เราป่วย มีบาดแผล คนแก่ คนที่ผ่าตัดเปลี่ยนอวัยวะ แล้วต้องกินยากดภูมิคุ้มกัน

3. เรื่องคนนอนดึก เราควรพักผ่อนเข้านอนเวลา3 ทุ่ม เนื่องจากร่างกายเราต้องการเวลาในการซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ ขับของเสียตามอวัยวะต่าง ๆ ย่อยอาหารให้หมด ถ้ากินมื้อหนักตอนกลางคืน แถมนอนดึกอีก รับรองว่าอ้วนพุงพุ้ย แน่นอน ไขมันเผาผลาญไม่หมดมันเลยสะสมอ่ะ ?ต่ถ้านอนดึกเล ี่ยงไม่ได้ เพราะขนงานมาทำ หรือติดงานอะไรก็ตาม ควรปฏิบัติดังนี้
    3.1 งดเนื้อสัตว์ เช่น เนื้อวัว เนื้อหมู ไก่ เพร! าะย่อยยาก ลำไส้ต้องทำงานหนัก
    3.2 หากเราอยากกินเนื้อสัตว์ ก็ควรช่วยลำไส้ด้วยการเคี้ยวให้ละเอียด ยิ่งเคี้ยวละเอียด ยิ่งดี จะได้แบ่งเบาภาระลำไส้
    3.3 ดื่มน้ำขิง ผสม น้ำผึ้ง อุ่น ๆ หรือ ! น้ำอุ่นธรรมดา + น้ำผึ้ง & nbsp; หรือถ้าไม่มีอะไรเลย น้ำอุ่นธรรมดา สัก1 แก้วก็ได้ เหมียน กัลลล...ล
    3.4 เวลานอน ควรทำให้ช่วงท้อง/ ฝ่าเท้าอุ่น โดยการห่มผ้า
    3.5 ที่จริ! งมื้อดึก ควรเป็นมื้อเบา ๆ อย่างเช่น ผัก ผลไม้ นม ไข่ เนื้อปลา จะดีกว่า
    3.6 ควรเลี่ยงน้ำเย็น น้ำอัดลม เพราะเพิ่มภาระให้ระบบภายในร่างกาย ร่างกายเราต้องความร้อนเพราะช่วยในการย่อยอาหาร หากดื่มแต่น้ำเย็น โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังมื้ออาหาร จะทำให้ร่างกายเราต้องพยายามปรับอุณหภูมิ ให้อุ่นเหมาะสมก่อน แล้วจึงนำไปใช้ การดื่มน้ำอัดลมก็ไม่มีประโยชน์อะไร! เพิ่มกรดให้ร่างกาย แถมมีน้ำตาลที่สะสมตามร่างกายอีก

**** ถ้าอยากกินเนื้อสัตว์ ควรกินเวลา 7.00 น - 9.00 น. เนื่องจากกระเพาะเรามีสภาพเป็นกรดสูงมากที่สุด ดังนั้นมื้อเช้าจะจำเป็นมาก ๆ ถ้าอดมื้อเช้าไปนาน ๆ ขั้วกระเพาะเราจะเป็นปุ่มปม และนานเข้า ๆ ก็กลายเป็นมะเร็งในกระเพาะ

อย่าลืมดื่มน้ำให้ได้วันละ8 แก้วนะ น้ำสะอาดจะช่วยล้างของเสีย ออกจากร่างกาย อย่าขี้เกียจลุกไปห้องน้ำเด็ดขาด ห้ามอดหลับอดนอนตั้งแต่ ตีหนึ่ง เด็ดขาด &n! bsp; เนื่องจาก ถุงน้ำดีกำลังย่อยไขมัน ถ้าอดนอนเวลานี้บ่อย ๆ จะเป็นนิ่วในถุงน้ำดี ห้ามกินนมตอนเช้า แทนข้าวเช้า เนื่องจาก ตอนเช้ากระเพาะเป็นกรดสูงมาก นึกสภาพดูหากเราบีบน้ำมะนาวลงในนม จะเกิดปฏิกิริยาทางเคมี กลายเป็นคอลลอยด์ มันไม่ย่อย นะจ๊ะ ถ้าดื่มนมตอนท้องว่างแบบนี้ติดต่อกันเป็นประจำแทนข้าวเช้า ระวังมะเร็งในไขกระดูกนะจ๊ะ แต่ถ้าเป็นช่วงหลังอาหารเช้า หรือ ตอนบ่ายไปแล้ว หรือตอนเย็นดื่มได้ตามปกติจ้า มื้อเย็นอาจเป็นมื้อง่าย ๆ อย่างนม กับไข่ก็ไม่ว่ากัน

ถั่วต่าง ๆ รวมทั้งธัญพืชสารพัดอย่าง เช่น ลูกเดือย ข้าวฟ่าง ฯลฯ มีประโยชน์ต่อลำไส้ คือ ช่วยกวาดเชื้อโรค + แบตทีเรียชนิดไม่ดี ออกจากลำไส้เรา ควรกิน อาทิตย์ละครั้ง อย่างน้อย พืชผักสีเขียว มีคลอโรฟิว ช่วยทำให้เม็ดเลือดลำเลียงออกซิเจนไปเลี้ยงส่วนต่าง ๆ ของร่างกายได้ดี เซลแต่ละเซลล์จะแข็งแรงเมื่อ! มีออกซิเจนไปหล่อเลี้ยง ก่อนเอาผักมากิน เพื่อให้แน่ใจว่าไม่มีสารพิษ อย่าลืมแช่น้ำส้มสายชู45 นาทีนะจ๊ะ